ผู้เขียน หัวข้อ: อาการแบบนี้ เสี่ยง ! เป็นโรคไตไหม  (อ่าน 15 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 616
    • ดูรายละเอียด
อาการแบบนี้ เสี่ยง ! เป็นโรคไตไหม
« เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2025, 22:33:02 pm »
อาการแบบนี้ เสี่ยง ! เป็นโรคไตไหม

การที่ไตเริ่มมีปัญหาหรือเสื่อมลงในระยะแรกมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจนครับ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวและถูกมองข้ามไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมโรคไตจึงถูกเรียกว่า "ภัยเงียบ" อย่างไรก็ตาม หากเริ่มมีอาการบางอย่างปรากฏขึ้น ก็อาจเป็นสัญญาณว่าไตกำลังมีปัญหา หรือโรคไตเข้าสู่ระยะที่ค่อนข้างลุกลามแล้ว

อาการแบบไหนที่อาจบ่งบอกว่า "เสี่ยงเป็นโรคไต"
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพไตโดยละเอียดครับ:


ปัสสาวะผิดปกติ:

ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืน: ไตจะเริ่มทำงานได้ไม่ดีในการกรองของเสียและรักษาสมดุลน้ำ ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น

ปัสสาวะเป็นฟองมาก: อาจบ่งบอกว่ามีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของไตที่เริ่มทำงานผิดปกติ

ปัสสาวะมีสีขุ่น มีเลือดปน หรือสีผิดปกติ: อาจบ่งบอกถึงการอักเสบ การติดเชื้อ หรือไตมีปัญหาในการกรอง

ปัสสาวะแสบขัด หรือปวดหน่วงเวลาปัสสาวะ: อาจมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งถ้าติดเชื้อซ้ำๆ อาจส่งผลต่อไตได้

ปริมาณปัสสาวะลดลง หรือไม่มีปัสสาวะเลย: เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าไตอาจทำงานล้มเหลวอย่างรุนแรง


อาการบวมตามร่างกาย:

หนังตาบวมตอนเช้า: มักเป็นอาการแรกๆ ที่สังเกตเห็นได้ง่าย

หน้าบวม เท้าบวม ข้อเท้าบวม หรือขาบวม: โดยเฉพาะเมื่อกดแล้วบุ๋ม เนื่องจากไตไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้ ทำให้เกิดการคั่งของน้ำในเนื้อเยื่อ

ท้องบวม หรือท้องมาน: ในระยะที่โรคไตลุกลามมาก อาจมีการคั่งของน้ำในช่องท้อง


อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น:

เมื่อไตทำงานได้ไม่ดี จะมีการสะสมของของเสียในเลือด ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง

อาจเกิดจากภาวะโลหิตจาง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เนื่องจากไตไม่สามารถสร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้เพียงพอ

คันตามตัว ผิวแห้ง ผิวคล้ำ:

การสะสมของของเสียในเลือดที่ไตขับออกไม่ได้ ทำให้เกิดการระคายเคืองและคันตามผิวหนัง บางคนอาจมีผิวแห้งกร้าน และผิวคล้ำลง


คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร:

การคั่งของของเสียในเลือด (ยูเรีย) จะกระตุ้นให้เกิดอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะในตอนเช้า หรือเมื่อโรคเข้าสู่ระยะรุนแรงขึ้น


ปวดหลัง หรือปวดบั้นเอว:

อาจเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับไตได้ แต่ต้องแยกจากสาเหตุอื่น เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ หรือกระดูกสันหลัง หากปวดตื้อๆ ลึกๆ บริเวณบั้นเอวทั้งสองข้าง อาจเกี่ยวข้องกับไต


เป็นตะคริว กล้ามเนื้อกระตุก หรือชา:

เป็นผลมาจากการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งไตมีหน้าที่ควบคุม

ความดันโลหิตสูงขึ้นผิดปกติหรือไม่สามารถควบคุมได้:

ไตมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต หากไตทำงานผิดปกติ อาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และความดันโลหิตที่สูงก็ยิ่งทำลายไตมากขึ้น กลายเป็นวงจรที่อันตราย


ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เป็นโรคไต

หากคุณมีอาการข้างต้น และมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ยิ่งต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจไตครับ:

โรคเบาหวาน: เป็นสาเหตุอันดับ 1 ของโรคไตเรื้อรัง

โรคความดันโลหิตสูง: เป็นสาเหตุอันดับ 2 ที่ทำให้ไตเสื่อม

มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไต

เป็นโรคอ้วน หรือน้ำหนักเกิน

มีภาวะไขมันในเลือดสูง

มีประวัติเป็นโรคนิ่วในไต หรือทางเดินปัสสาวะอุดตันซ้ำๆ

สูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนัก

ใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ติดต่อกันเป็นเวลานาน (เช่น ไอบูโพรเฟน, นาพรอกเซน) หรือใช้ยาสมุนไพร/อาหารเสริมที่ไม่ทราบส่วนประกอบ


สิ่งที่ควรทำเมื่อมีอาการหรือสงสัย

อย่ารอให้มีอาการหนัก! การตรวจพบโรคไตตั้งแต่ระยะแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้สามารถชะลอความเสื่อมของไตและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

รีบปรึกษาแพทย์: เพื่อรับการตรวจเลือด (เช่น ค่าครีอะตินีน, GFR) และตรวจปัสสาวะ (หาโปรตีนรั่วในปัสสาวะ) ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นที่สำคัญในการประเมินการทำงานของไต

ควบคุมโรคประจำตัว: หากเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ต้องควบคุมโรคเหล่านี้ให้ดีและสม่ำเสมอ

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ: ลดเค็ม ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย งดบุหรี่และแอลกอฮอล์

การใส่ใจสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ของร่างกาย และการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณสามารถดูแลไตซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายได้ดีที่สุดครับ

 

ลงประกาศฟรี ติด google ลงโฆษณา ขายของ ฟรี โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ขายฟรี ขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google