อาการแบบนี้ เสี่ยง ! เป็นโรคไตไหมการที่ไตเริ่มมีปัญหาหรือเสื่อมลงในระยะแรกมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจนครับ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวและถูกมองข้ามไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมโรคไตจึงถูกเรียกว่า "ภัยเงียบ" อย่างไรก็ตาม หากเริ่มมีอาการบางอย่างปรากฏขึ้น ก็อาจเป็นสัญญาณว่าไตกำลังมีปัญหา หรือโรคไตเข้าสู่ระยะที่ค่อนข้างลุกลามแล้ว
อาการแบบไหนที่อาจบ่งบอกว่า "เสี่ยงเป็นโรคไต"
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพไตโดยละเอียดครับ:
ปัสสาวะผิดปกติ:
ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืน: ไตจะเริ่มทำงานได้ไม่ดีในการกรองของเสียและรักษาสมดุลน้ำ ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น
ปัสสาวะเป็นฟองมาก: อาจบ่งบอกว่ามีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของไตที่เริ่มทำงานผิดปกติ
ปัสสาวะมีสีขุ่น มีเลือดปน หรือสีผิดปกติ: อาจบ่งบอกถึงการอักเสบ การติดเชื้อ หรือไตมีปัญหาในการกรอง
ปัสสาวะแสบขัด หรือปวดหน่วงเวลาปัสสาวะ: อาจมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งถ้าติดเชื้อซ้ำๆ อาจส่งผลต่อไตได้
ปริมาณปัสสาวะลดลง หรือไม่มีปัสสาวะเลย: เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าไตอาจทำงานล้มเหลวอย่างรุนแรง
อาการบวมตามร่างกาย:
หนังตาบวมตอนเช้า: มักเป็นอาการแรกๆ ที่สังเกตเห็นได้ง่าย
หน้าบวม เท้าบวม ข้อเท้าบวม หรือขาบวม: โดยเฉพาะเมื่อกดแล้วบุ๋ม เนื่องจากไตไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้ ทำให้เกิดการคั่งของน้ำในเนื้อเยื่อ
ท้องบวม หรือท้องมาน: ในระยะที่โรคไตลุกลามมาก อาจมีการคั่งของน้ำในช่องท้อง
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น:
เมื่อไตทำงานได้ไม่ดี จะมีการสะสมของของเสียในเลือด ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
อาจเกิดจากภาวะโลหิตจาง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เนื่องจากไตไม่สามารถสร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้เพียงพอ
คันตามตัว ผิวแห้ง ผิวคล้ำ:
การสะสมของของเสียในเลือดที่ไตขับออกไม่ได้ ทำให้เกิดการระคายเคืองและคันตามผิวหนัง บางคนอาจมีผิวแห้งกร้าน และผิวคล้ำลง
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร:
การคั่งของของเสียในเลือด (ยูเรีย) จะกระตุ้นให้เกิดอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะในตอนเช้า หรือเมื่อโรคเข้าสู่ระยะรุนแรงขึ้น
ปวดหลัง หรือปวดบั้นเอว:
อาจเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับไตได้ แต่ต้องแยกจากสาเหตุอื่น เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ หรือกระดูกสันหลัง หากปวดตื้อๆ ลึกๆ บริเวณบั้นเอวทั้งสองข้าง อาจเกี่ยวข้องกับไต
เป็นตะคริว กล้ามเนื้อกระตุก หรือชา:
เป็นผลมาจากการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งไตมีหน้าที่ควบคุม
ความดันโลหิตสูงขึ้นผิดปกติหรือไม่สามารถควบคุมได้:
ไตมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต หากไตทำงานผิดปกติ อาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และความดันโลหิตที่สูงก็ยิ่งทำลายไตมากขึ้น กลายเป็นวงจรที่อันตราย
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เป็นโรคไต
หากคุณมีอาการข้างต้น และมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ยิ่งต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจไตครับ:
โรคเบาหวาน: เป็นสาเหตุอันดับ 1 ของโรคไตเรื้อรัง
โรคความดันโลหิตสูง: เป็นสาเหตุอันดับ 2 ที่ทำให้ไตเสื่อม
มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไต
เป็นโรคอ้วน หรือน้ำหนักเกิน
มีภาวะไขมันในเลือดสูง
มีประวัติเป็นโรคนิ่วในไต หรือทางเดินปัสสาวะอุดตันซ้ำๆ
สูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนัก
ใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ติดต่อกันเป็นเวลานาน (เช่น ไอบูโพรเฟน, นาพรอกเซน) หรือใช้ยาสมุนไพร/อาหารเสริมที่ไม่ทราบส่วนประกอบ
สิ่งที่ควรทำเมื่อมีอาการหรือสงสัย
อย่ารอให้มีอาการหนัก! การตรวจพบโรคไตตั้งแต่ระยะแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้สามารถชะลอความเสื่อมของไตและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้
รีบปรึกษาแพทย์: เพื่อรับการตรวจเลือด (เช่น ค่าครีอะตินีน, GFR) และตรวจปัสสาวะ (หาโปรตีนรั่วในปัสสาวะ) ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นที่สำคัญในการประเมินการทำงานของไต
ควบคุมโรคประจำตัว: หากเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ต้องควบคุมโรคเหล่านี้ให้ดีและสม่ำเสมอ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ: ลดเค็ม ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย งดบุหรี่และแอลกอฮอล์
การใส่ใจสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ของร่างกาย และการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณสามารถดูแลไตซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายได้ดีที่สุดครับ