แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 39
1
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง

โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease - CKD) เป็นภาวะที่ไตถูกทำลายและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน (มากกว่า 3 เดือน) ซึ่งนำไปสู่การสะสมของของเสียในร่างกาย และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง ทั้งที่สามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ดังนี้ค่ะ:

ปัจจัยเสี่ยงหลักและสาเหตุสำคัญ

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus):

เป็นสาเหตุอันดับ 1 ของโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีเป็นเวลานาน น้ำตาลในเลือดที่สูงจะทำลายหลอดเลือดเล็กๆ ในไตที่ทำหน้าที่กรองของเสีย ทำให้ไตเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ


โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension):

เป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 2 ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้เป็นเวลานาน จะทำให้หลอดเลือดในไตแข็งตัวและเสียหาย ส่งผลให้การทำงานของไตลดลง


โรคไตอักเสบชนิดต่างๆ (Glomerulonephritis / Nephritis):

เป็นการอักเสบของหน่วยไตที่ทำหน้าที่กรองเลือด (Glomeruli) ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

โรคไตอักเสบจากการติดเชื้อ: เช่น หลังการติดเชื้อสเตรปโตคอคคัส

โรคไตอักเสบจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune diseases): เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus - SLE หรือโรคพุ่มพวง), โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis)

โรคไตอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ: เช่น IgA nephropathy, Focal Segmental Glomerulosclerosis (FSGS)

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

อายุที่มากขึ้น:

โดยทั่วไป ความสามารถในการทำงานของไตจะลดลงตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป


โรคทางพันธุกรรม:

โรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney Disease - PKD): เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดถุงน้ำจำนวนมากในไต ทำให้ไตทำงานผิดปกติและเสื่อมสภาพลง

ความผิดปกติของไตแต่กำเนิด หรือภาวะไตไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรกเกิด

การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง:

นิ่วในไตหรือท่อไต: หากนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้ปัสสาวะคั่งค้างและสร้างแรงดันย้อนกลับไปที่ไต

ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย: ทำให้ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ และส่งผลกระทบต่อไตได้

ภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (Vesicoureteral Reflux - VUR): พบบ่อยในเด็ก ทำให้ปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะไหลย้อนขึ้นไปที่ไต

การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะซ้ำๆ หรือรุนแรง (Recurrent UTIs / Pyelonephritis):

โดยเฉพาะการติดเชื้อที่ลุกลามไปถึงกรวยไตและเนื้อไต (กรวยไตอักเสบ) หากเป็นซ้ำๆ หรือเป็นเรื้อรังอาจทำให้เนื้อไตเสียหายได้

การใช้ยาบางชนิดอย่างไม่เหมาะสมหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน:

ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs): เช่น Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac หากใช้ต่อเนื่องเป็นประจำ หรือใช้ในปริมาณสูง

ยาปฏิชีวนะบางชนิด: โดยเฉพาะกลุ่ม Aminoglycosides หากใช้ไม่ระมัดระวัง

ยาชุด ยาสมุนไพร ยาลูกกลอน ยาแผนโบราณ: ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้รับการรับรอง หรือมีส่วนผสมของสารเคมี โลหะหนัก (เช่น ปรอท ตะกั่ว) หรือยาสเตียรอยด์

อาหารเสริมบางชนิด: หากมีส่วนประกอบที่ส่งผลเสียต่อไต หรือรับประทานเกินขนาด


โรคอ้วน (Obesity):

ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคไต นอกจากนี้ยังอาจทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นในการกรองเลือด

การสูบบุหรี่:

การสูบบุหรี่ทำลายหลอดเลือดทั่วร่างกาย รวมถึงหลอดเลือดในไต ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงไตลดลง และเร่งการเสื่อมของไต

พฤติกรรมการรับประทานอาหาร:

การรับประทานอาหารรสเค็มจัด: ทำให้ไตทำงานหนักในการขับโซเดียมส่วนเกิน และอาจนำไปสู่ความดันโลหิตสูง

การรับประทานอาหารโปรตีนสูงมากเกินไป: ในระยะยาวอาจเพิ่มภาระให้กับไต

การดื่มน้ำน้อย: อาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้นในการขับของเสีย และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไต


โรคเกาต์ (Gout) หรือมีระดับกรดยูริกในเลือดสูง:

กรดยูริกที่สูงเกินไปสามารถตกผลึกในไตและทำให้เกิดความเสียหายได้

การทราบถึงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและชะลอการเกิดโรคไตเรื้อรังได้ โดยการควบคุมโรคประจำตัวให้ดี ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และเข้ารับการตรวจสุขภาพไตอย่างสม่ำเสมอค่ะ

2
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส INVISALIGN MODERATE แก้ไขปัญหาฟันได้ทุกกรณี !

การจัดฟันแบบใส Invisalign

เป็นการจัดหันที่นำนวัตกรรมใหม่เข้ามาช่วยในเรื่องของการวางแผนการจัดฟันเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษา ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ได้ทำการจัดฟันแล้ว ซึ่งจะแสดงผลเป็นรูปแบบของ 3D เพื่อให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ แต่การจัดฟันแบบใส Invisalign มีหลายประเภท โดยจะขึ้นอยู่กับสภาพฟันของแต่ละบุคคล และดุลยพินิจของทันตแพทย์ที่จะทำการรักษา โดยจะทำการประเมินช่องปาก สภาพของฟัน ว่าควรเข้ารับการจัดฟันแบบใส Invisalign แบบใด ซึ่งวันนี้เราจะพามารู้จักกับการจัดฟันแบบใส Invisalign Moderate ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการจัดฟันแบบใส

การจัดฟันแบบใส Invisalign Moderate เป็นการจัดฟันใสสำหรับผู้ที่มีฟันซ้อนเกค่อนข้างมาก หรือมีความซับซ้อนมาก อาจเคยเป็นฟันที่ไม่เคยผ่านการจัดฟันมาก่อน หรือไม่ก็ตาม การจัดฟันใสแบบ Invisalign Moderate ใช้เครื่องมือการจัดฟันแบบใส

ตั้งแต่ 24 คู่ ขึ้นไป และใช้เวลาโดยประมาณในการจัดฟัน 1-2 ปี แล้วแต่สภาพฟันของแต่ละบุคคล และดุลยพินิจของทันตแพทย์ โดยการจัดหันแบบใส ในรูปแบบนี้สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ทุกกรณีและผู้เข้ารับการจัดฟันจะสามารถได้เห็นแผนการรักษาของทันตแพทย์ว่าจะทำการรักษาในรูปแบบใด และผลการรักษาจะไปในทิศทางใดนั่นเอง

การจัดฟันแบบใส Invisalign ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษามีสุขภาพฟันที่ดี เพราะการจัดฟันแบบใส สามารถถอดออกได้

จึงทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องมือจัดฟัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไหมขัดฟันในการทำความสะอาดได้ด้วย หากสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถเข้ามาขอคำปรึกษาจากทันตแพทย์ของทางคลีนิคได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

3
หลายคนสงสัย อาหารทางสายยาง ควรแบ่งให้ผู้ป่วยวันละกี่มื้อ ?

อาหารทางสายยาง ถือเป็นอาหารเพื่อการรักษาทางการแพทย์อย่างหนึ่ง เพื่อนำไปให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาในเรื่องของการกลืนอาหาร การให้อาหารปั่นผสมสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความชอบและความสะดวกในการจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับท้องถิ่นหรือความสะดวกของผู้ประกอบอาหาร รวมไปถึงความเหมาะสมแก่โรคของผู้ป่วย เช่น หากผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ควรประกอบอาหารให้มีส่วนผสมของน้ำตาลน้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ อาหารปั่นผสมเป็นอาหารที่ต้องให้ผู้ป่วยทางสายยางให้อาหาร โดยจะต้องมีการให้อาหารแก่ผู้ป่วยและต้องมีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องของการให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย หลายคนสงสัยว่าการให้อาหารแก่ผู้ป่วยนั้น จะต้องให้มากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน หรือต้องให้บ่อยแค่ไหน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารกี่มื้อเพื่อให้มีความเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายของผู้ป่วย

ซึ่งนั้นจะต้องเป็นแพทย์และนักโภชนาการเป็นผู้กำหนดว่า ผู้ป่วยสมควรได้รับสารอาหารต่อวันในปริมาณเท่าใด และควรที่จะให้อาหารแก่ผู้ป่วยกี่มื้อต่อวัน โดยแพทย์โภชนาการจะเป็นผู้คำนวณสูตรอาหารทั้งหมด และคำนวณปริมาณอาหารในแต่ละวัน เพื่อให้เหมาะสมแก่โรคและร่างกายของผู้ป่วย จะต้องบอกก่อนว่าอาหารปั่นผสมโดยส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยสารอาหารหลักที่ครบ 5 หมู่ จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ด้านโภชนาการเป็นหลัก เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด รวมไปถึงจะต้องคำนวณถึงปริมาณที่เหมาะสม หากผู้ป่วยได้รับสารอาหารหรืออาหารที่มากจนเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้

สำหรับวันนี้จะมาพูดถึงเรื่องของการให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วยว่าควรให้อาหารแก่ผู้ป่วยวันละกี่มื้อ สำหรับการให้อาหารแก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ จะต้องคำนึงถึงปริมาณของสารอาหารเป็นหลักเพราะผู้ป่วยจะต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายซึ่งมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยบรรเทาอาการป่วยด้วยปริมาณและคุณค่าของอาหารมีผลต่อร่างกายผู้ป่วย รวมไปถึงมีผลต่อระบบย่อยอาหารและการดูดซึมอาหาร

เพราะฉะนั้นผู้ป่วยจะต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายการให้อาหารแก่ผู้ป่วยก็มีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการรับประทานอาหารในหลายปัจจัยที่มีผลต่อภาวะการและพฤติกรรมของผู้ป่วย ปริมาณและอาหารที่จะให้ผู้ป่วยในแต่ละวันนั้น จะขึ้นอยู่กับอายุและโรคภัยไข้เจ็บของผู้ป่วยด้วย โดยอาจจะแบ่งอาหารเป็น 4 มื้อในแต่ละวัน โดยปกติแล้วคนทั่วไปจะรับประทานอาหาร 3 มื้อต่อวัน แต่ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาสภาพร่างกายที่ต้องให้อาหารทางสายยาง อาจแบ่งได้เป็น4 มื้อเนื่องจากการให้อาหารในแต่ละครั้งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง แน่นท้องอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนอื่นได้ เนื่องจากได้รับสารอาหารที่มากเกินไปและมีระบบย่อยอาหารที่ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ผู้ป่วยบางรายจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปกติในการย่อยอาหาร ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยได้ย่อยอาหารได้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะได้รับอาหารในมื้อต่อไปเป็นการรักษาสมดุลและรักษาระบบการย่อยอาหารของผู้ป่วยไปในตัว

สำหรับอาหารทางสายยาง ผู้ป่วยควรได้รับอาหารที่สามารถย่อยได้ง่ายและผู้ดูแลจะต้องปรุงอาหารด้วยที่สามารถย่อยง่ายและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของผู้ป่วยเช่น อาหารที่ประกอบไปด้วยผักใบเขียว ซึ่งมีเส้นใยอาหาร ทั้งยังช่วยรักษาสมดุลและดีต่อระบบย่อยอาหาร สำหรับอาหารปั่นผสมที่ดี สำหรับผู้ป่วยจะต้องความสะอาดปลอดภัยแก่ผู้ป่วย โดยอาหารปั่นผสมเรามีขั้นตอนการผลิตที่มีความสะอาดและคำนึงถึงความปลอดภัยผลิตในห้องปลอดเชื้อของโรงพยาบาล เพื่อรักษาความสะอาดของอาหารและคุณภาพของอาหาร ก่อนอาหารจะเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารอย่างครบถ้วน

นอกจากนี้อาหารปั่นผสม มีกรรมวิธีการที่สามารถเก็บรักษาอาหารได้นานแตกต่างจากของยี่ห้ออื่น โดยปกติแล้วอาหารปั่นผสมจะสามารถเก็บรักษาได้ ไม่นานเพราะหากผลิตออกมาแล้วต้องใช้ให้หมดทันที แต่อาหารปั่นผสม สามารถเก็บรักษาได้ถึง 24 ชั่วโมงและนี่คือจุดเด่นของอาหารปั่นผสม ซึ่งเป็นการการันตีว่าอาหารที่ทางเราผลิตออกมามีมาตรฐานและคุณภาพตามหลักโภชนาการและยังคำนึงในเรื่องของความสะอาดเป็นหลัก อย่างไรก็ตามอาหารปั่นผสม สามารถหาซื้อได้ที่โรงพยาบาลโดยจะจัดจำหน่ายที่โรงพยาบาลธนบุรี 2 และที่โรงพยาบาลกรุงเทพ-พัทยา สามารถมารับที่ศูนย์การผลิตได้โดยตรง

4
ติดฉนวนกันความร้อนท่อปรับอากาศโรงงาน ต้องระวังอะไรบ้างเป็นพิเศษ

ท่อปรับอากาศโรงงาน ถือเป็นหนึ่งในจุดสะสมความร้อนสำคัญที่ควรได้รับการติดตั้งฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้จากความร้อนสะสมภายในโรงงาน แต่ทั้งนี้ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนท่อปรับอากาศโรงงานนั้น ถือเป็นจุดที่ทำได้ยากมากที่สุดจุดหนึ่ง เพราะมีข้อควรระวังหลายประการ ดังต่อไปนี้


1.ควรทำความสะอาดท่อให้ดีก่อนติดฉนวนกันความร้อน

การทำความสะอาดท่ออย่างทั่วถึงก่อนติดตั้งฉนวนกันความร้อนถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากท่อสกปรก มีฝุ่น มีสิ่งสกปรกอยู่ แล้วติดตั้งฉนวนไป อาจทำให้ประสิทธิภาพของฉนวนกันความร้อนลดลง ทำให้เกิดฉนวนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ตลอดจนอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพอากาศภายในโรงงานด้วย


2.ต้องตัดแต่งฉนวนกันความร้อนให้เหมาะสม

ท่อปรับอากาศจะมีรูปทรงที่ต่างกันไปแต่ละที่ ขนาดก็ต่างกัน เหลี่ยมมุมก็ต่างกัน ไม่ได้เหมือนกับผนังโรงงานที่เรียบ ๆ เป็นพื้นที่สี่เหลี่ยม ดังนั้น ในการติดตั้งฉนวนกันความร้อนท่อปรับอากาศโรงงาน จึงต้องมีการตัดฉนวนกันความร้อน ให้ได้ขนาด และรูปทรงที่ติดตั้งในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม หากตัดแต่งฉนวนไม่ดี ก็จะเกิดความเสียหาย จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของฉนวนได้


3.ควรติดตั้งฉนวนให้ถูกต้องเหมาะสม

เราต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่า ท่อปรับอากาศของโรงงานคือทางเดินให้อากาศไหลเวียน การนำฉนวนไปติดตั้งในพื้นที่ จึงต้องมีการออกแบบและประเมินเป็นอย่างดีว่า จะติดตั้งได้อย่างเหมาะสม ไม่มีการปิดกั้นหรือจำกัดการไหลเวียนของอากาศในท่อปรับอากาศ ไม่เช่นนั้นแล้ว ประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศจะมีปัญหา และอาจกลายเป็นเรื่องปวดหัวลุกลามใหญ่โตได้ในภายหลัง

จากข้อควรระวังทั้ง 3 เรื่องที่กล่าวมานี้ จะทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การติดตั้งฉนวนกันความร้อนท่อปรับอากาศโรงงานนั้น ต้องใช้ความชำนาญอย่างมาก เพื่อให้การติดตั้งราบรื่น ไม่เสียหาย และมีประสิทธิภาพ

ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ผู้ประกอบการท่านใดก็ตามที่มีปัญหาความร้อนสะสมในระบบปรับอากาศ หากตัดสินใจต้องการติดตั้งฉนวนกันความร้อนแล้ว ก็ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยตรง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

5
อยากมีอาชีพเสริม ควรเริ่มจากอะไรก่อนดี

การเริ่มต้นอาชีพเสริมเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ก็ต้องมีการวางแผนและเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่ควรพิจารณา:

1. สำรวจตัวเอง:

ความสนใจและความถนัด:
เริ่มต้นด้วยการสำรวจว่าคุณชอบอะไร ทำอะไรได้ดีเป็นพิเศษ หรือมีทักษะอะไรที่สามารถนำมาใช้สร้างรายได้ได้บ้าง
การทำในสิ่งที่ชอบจะช่วยให้คุณมีความสุขและมีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น
เวลาและความพร้อม:
พิจารณาว่าคุณมีเวลาว่างมากน้อยแค่ไหน และสามารถจัดสรรเวลาให้กับอาชีพเสริมได้มากน้อยเพียงใด
ประเมินความพร้อมทางด้านการเงินและทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นอาชีพเสริม

2. สำรวจตลาด:

ความต้องการของตลาด:
ศึกษาว่าตลาดมีความต้องการสินค้าหรือบริการอะไรบ้าง และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นใคร
มองหาช่องว่างในตลาดที่คุณสามารถเข้าไปเติมเต็มได้
คู่แข่ง:
วิเคราะห์ว่ามีคู่แข่งในตลาดมากน้อยแค่ไหน และพวกเขามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร
หาจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

3. วางแผนธุรกิจ:

แนวคิดธุรกิจ:
กำหนดแนวคิดธุรกิจให้ชัดเจน ว่าคุณจะขายอะไร ให้บริการอะไร และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือใคร
แผนการตลาด:
วางแผนว่าจะโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณอย่างไร จะเข้าถึงลูกค้าได้อย่างไร
แผนการเงิน:
คำนวณต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพเสริม
ประมาณการรายได้และผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับ

4. เริ่มต้นลงมือทำ:

เริ่มต้นเล็กๆ:
ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะในครั้งแรก เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณมี และค่อยๆ ขยายธุรกิจเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น
เรียนรู้และพัฒนา:
เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจ เช่น การตลาดออนไลน์ การขาย หรือการบัญชี
พัฒนาสินค้าหรือบริการของคุณให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ

ตัวอย่างอาชีพเสริมที่น่าสนใจ:

ขายของออนไลน์: ขายสินค้าที่คุณชอบหรือมีความเชี่ยวชาญผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
งานฝีมือ: ทำสินค้าแฮนด์เมด เช่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า หรือของตกแต่งบ้าน
บริการออนไลน์: รับจ้างทำงานออนไลน์ เช่น เขียนบทความ แปลภาษา หรือออกแบบกราฟิก
สอนพิเศษ: สอนวิชาที่คุณถนัด หรือทักษะที่คุณมีให้กับผู้อื่น
ขับรถส่งอาหาร หรือส่งของ: เป็นตัวเลือกที่ทำได้ง่าย และมีแพลตฟอร์มรองรับมากมาย

ข้อควรจำ:

ความอดทนและความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการทำอาชีพเสริม
อย่ากลัวที่จะเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง
หาแรงบันดาลใจและกำลังใจจากผู้ที่ประสบความสำเร็จ
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการเริ่มต้นอาชีพเสริมของคุณ

6
หมอออนไลน์: กระดูกหัก (Fracture/Broken bones)

กระดูกหัก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

กระดูกหักแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ ได้เเก่

1. กระดูกหักชนิดธรรมดา (simple fracture/closed fracture) จะมีอาการกระดูกหักเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีบาดแผลที่ผิวหนัง และกระดูกจะไม่โผล่ออกนอกผิวหนัง

2. กระดูกหักชนิดซับซ้อนหรือมีบาดแผล (compound fracture/open fracture) จะมีบาดแผลซึ่งลึกถึงกระดูก หรือกระดูกที่หักอาจทิ่มแทงทะลุออกนอกเนื้อ ถือเป็นชนิดร้ายแรง อาจทำให้ตกเลือดรุนแรง เส้นประสาทถูกทำลาย หรือติดเชื้อได้ง่าย เป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียแขนขาได้

สาเหตุ

ส่วนมากมักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ เช่น หกล้ม รถคว่ำ รถชน เป็นต้น

ในผู้สูงอายุ กระดูกเสื่อม ผุและเปราะ จึงมีโอกาสหักง่าย เมื่อถูกแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย ที่พบได้บ่อย คือ กระดูกต้นขาและสะโพกหัก

อาการ

บริเวณที่หักมีลักษณะบวม เขียวช้ำ เจ็บปวด ซึ่งจะเป็นมากเวลาเคลื่อนไหวหรือใช้มือกดถูก บางรายอาจรู้สึกเคลื่อนไหวส่วนนั้นลำบาก (ถึงแม้จะเคลื่อนไหวได้ตามปกติก็อาจหักได้เช่นกัน)

แขนขาส่วนที่หัก อาจมีลักษณะผิดรูปผิดร่าง เช่น โก่งงอ หรือสั้นกว่าข้างที่ดี

บางครั้งถ้าลองจับกระดูกบริเวณนั้นดู อาจได้ยินเสียงกระดูกสีกัน หรือรู้สึกกรอบแกรบ

แต่กระดูกบางแห่ง เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาจมีอาการบวมและปวดเพียงเล็กน้อย จนเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงข้อเคล็ดข้อแพลงก็ได้

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้กระดูกที่หักต่อกันได้ไม่ดี ทำให้แขนขาโก่งได้

ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดซับซ้อน อาจทำให้หลอดเลือดแดงฉีก ตกเลือดรุนแรงถึงช็อกได้ หรืออาจทำให้เส้นประสาทฉีกขาดเป็นอัมพาตและชาได้ หรือไม่ก็อาจมีการติดเชื้อรุนแรง จนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษได้ บางรายอาจติดเชื้อเรื้อรังกลายเป็นกระดูกอักเสบเป็นหนองเรื้อรัง (chronic osteomyelitis)

สำหรับผู้สูงอายุที่มีกระดูกต้นขาหรือสะโพกหักซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการหกล้ม อาจทำให้เป็นผู้ป่วยนอนติดเตียง เกิดภาวะแทรกซ้อน (เช่น โรคปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ แผลกดทับ) มีความยุ่งยากในการดูแลรักษาและเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ และยืนยันการวินิจฉัยโดยเอกซเรย์ดูลักษณะการหักของกระดูก

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การปฐมพยาบาล เช่น ห้ามเลือด ใส่เฝือกหรือดามกระดูกส่วนที่หักไว้ ถ้าช็อกให้น้ำเกลือแล้วให้การรักษาโดยพยายามดึงกระดูกให้เข้าที่ (ถ้าจำเป็นอาจต้องดมยาให้ผู้ป่วยสลบ) แล้วใส่เฝือกปูนปลาสเตอร์ไว้

ถ้ากระดูกต้นขาหัก บางครั้งอาจต้องให้ผู้ป่วยนอนบนเตียง แล้วใช้น้ำหนักถ่วงดึงให้กระดูกเข้าที่ ผู้ป่วยอาจต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่เป็นสัปดาห์ ๆ

ในบางรายอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ใช้เหล็กดามกระดูกไว้

หากกระดูกหักแหลกละเอียด หรือมีบาดเเผลเหวอะหวะที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง อาจต้องรักษาด้วยการตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยเสียก่อน เมื่อแผลหายแล้ว จึงค่อยให้ผู้ป่วยใส่แขนขาเทียม ซึ่งจะช่วยให้เดินและทำงานได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย ควรให้การปฐมพยาบาล แล้วรีบไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่ากระดูกหัก ควรดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

การปฐมพยาบาลกระดูกหัก

1. ถ้าพบว่ามีบาดแผลในบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ตำแหน่งที่มีกระดูกหักร่วมด้วย และมีเลือดออก ควรทำการห้ามเลือด ดังนี้

    ถ้าบาดแผลเล็ก ควรใช้ผ้าสะอาดพันทบหนา ๆ หลายชั้น วางบนปากแผลแล้วใช้นิ้วหรือ อุ้งมือ กดห้ามเลือด หรือใช้ผ้าพันรัดให้เเน่น
    ถ้าบาดแผลใหญ่ และเลือดไหลรุนแรง ควรใช้ผ้า เชือก หรือสายยางรัดเหนือบาดแผลประมาณ 1 ฝ่ามือ ให้เเน่นพอที่จะห้ามเลือดได้ เรียกว่า การรัดทูร์นิเคต์ (tourniquet) หรือการขันชะเนาะ แล้วรีบนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ควรจดเวลาที่เริ่มขันชะเนาะ และแจ้งให้แพทย์ทราบถึงระยะเวลาของการขันชะเนาะ เพื่อวางแผนในการรักษา

2. สำหรับกระดูกหักแบบปิด คือ กระดูกหักอยู่ภายใน โดยไม่มีบาดแผลที่ผิวหนัง ควรปฏิบัติดังนี้

    ทำการดามกระดูกส่วนที่หัก โดยใช้แผ่นไม้ กระดาษแข็ง หรือกระดาษหนังสือพิมพ์พับทบหลาย ๆ ชั้น ทำเป็นเฝือกวางแนบส่วนที่หัก โดยให้ปลายทั้ง 2 ข้างครอบคลุมถึงข้อที่อยู่เหนือและใต้ส่วนที่หัก ใช้ผ้าพันยึดไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว
    ถ้าเป็นปลายแขนหรือมือ ให้ใช้ผ้าคล้องคอ
    ถ้าเป็นที่ขา อาจใช้ขาข้างที่ดีทำเป็นเฝือกแทน โดยใช้ผ้าหรือกระดาษหนา ๆ วางคั่นตรงกลางขาทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้ผ้าพันรอบขาทั้ง 2 ข้างหลาย ๆ เปลาะ
    ถ้าปวดกินพาราเซตามอล* บรรเทา

3. สำหรับกระดูกหักแบบเปิด คือ มีบาดแผลที่ผิวหนัง และกระดูกโผล่ออกนอกเนื้อ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ห้ามดึงกระดูกให้กลับเข้าที่ เพราะจะทำให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกจากภายนอกเข้าไปในบาดแผล ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้เจ็บปวดมากขึ้น และอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อที่ใต้ผิวหนัง (เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นเลือด และเส้นประสาท) ได้
    ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด (น้ำต้มสุก หรือน้ำขวดที่ใช้ดื่ม) หรือน้ำเกลือ (ที่ใช้ทางการแพทย์) ใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชุบน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือปิดคลุมกระดูกที่โผล่ออกมาไว้
    ใช้ไม้หรือกระดาษแข็งดามแขนหรือขาที่มีกระดูกหัก (ในท่าที่แขนหรือขาคดงออยู่แต่แรกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องดามในท่าเหยียดตรง) หรือพยายามพยุงให้ส่วนที่บาดเจ็บให้อยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
    ถอดเครื่องประดับ (เช่นแหวน กำไล) ออกจากปลายแขนหรือขาที่มีกระดูกหัก หากปล่อยไว้จนมีอาการบวมแล้วจะถอดได้ยาก หรือทำให้เกิดอันตรายได้
    ยกแขนหรือขาที่มีกระดูกหักให้สูงกว่าลำตัว และใช้ความเย็น (เช่น น้ำแข็งใส่ถุงสะอาด) ประคบบริเวณใกล้บาดแผลเพื่อบรรเทาปวด ถ้ายังมีอาการปวด กินพาราเซตามอล* บรรเทา
    ถ้ามีเลือดออกให้ทำการห้ามเลือด ด้วยการใช้ผ้าสะอาดกดแรง ๆ บริเวณรอบ ๆ บาดแผล อย่ากดโดนกระดูกที่โผล่ออกมา หรือกรณีที่มีเลือดออกมาก ใช้วิธีขันชะเนาะเหนือบาดแผลประมาณ 1 ฝ่ามือให้แน่นจนห้ามเลือดได้
    ถ้ามีภาวะช็อก (หน้าซีด เหงื่ออก ตัวเย็น หน้ามืด จะเป็นลม) ให้ทำการปฐมพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนอนราบศีรษะต่ำ หาอะไรมารองที่ใต้เท้าหรือยกเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจ ใช้ผ้าหนา ๆ หรือผ้าห่มคลุมหรือห่อตัวให้อบอุ่น
    รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือติดต่อรถพยาบาลมารับ

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยาจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

ระมัดระวังป้องกันตัวเองในเรื่องการเกิดอุบัติเหตุ และการหกล้ม

ข้อแนะนำ

1. กระดูกที่หักสามารถต่อกันได้เองโดยธรรมชาติ การรักษาจึงอยู่ที่การดึงกระดูกให้เข้าที่เเละตรึง (ดาม หรือ เข้าเฝือก) ไว้ อย่าให้เลื่อนจากแนวปกติ รอให้กระดูกต่อกันเองจนสนิท ซึ่งอาจกินเวลา 1-3 เดือน ขึ้นกับอายุ (เด็กหายเร็วกว่าผู้ใหญ่) ตำแหน่งที่หัก (แขนหายเร็วกว่าขา) และลักษณะของกระดูกหัก

2. วิธีการรักษากระดูกหักของแพทย์มีได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับตำแหน่งและลักษณะของกระดูกหัก ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดธรรมดา มักจะต้องดึงกระดูกเข้าที่ แล้วใส่เฝือกปูน แล้วนัดมาตรวจเป็นระยะจนกว่าจะหายสนิทจึงถอดเฝือกออก

ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดซับซ้อน การรักษาอาจยุ่งยากขึ้น อาจต้องผ่าตัด

มีผู้ป่วยเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่อาจต้องพิจารณาให้ตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง เนื่องจากกระดูกหักอย่างรุนแรง ปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายถึงตายได้

     3. ชาวบ้านมักมีความเชื่อและความกลัวอย่างผิด ๆ เกี่ยวกับการรักษากระดูกหักของแพทย์ เช่น

    เชื่อว่าใส่เฝือกปูนหนา ๆ อาจทำให้เนื้อเน่าอยู่ในเฝือก
    รู้สึกว่าการให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงและใช้น้ำหนักถ่วงกระดูกให้เข้าที่ เป็นเรื่องที่น่าทรมาน หรือไม่ก็คิดว่าแพทย์ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น
    กลัวที่จะถูกตัดแขน ตัดขา เป็นต้น

ดังนั้น แพทย์ผู้รักษาควรใช้หลักจิตวิทยาในการพูดคุยชี้แจงให้ผู้ป่วยเข้าใจวิธีการรักษาของแพทย์

7
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ช่วยการพูด การบดเคี้ยวอาหารดีขึ้น จริงหรือ ?

ปัญหาของผู้ที่เข้ารับการจัดฟันส่วนใหญ่ที่หลายคนมักจะต้องพบเจอนั่นก็คือ ในเรื่องของการพูด การออกเสียง ซึ่งอาจจะทำให้พูดไม่ชัดในระยะแรกๆ เพราะการที่เราเข้ารับการจัดฟัน แน่นอนว่าจะทำให้มีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากทำให้เรารู้สึกพูดไม่ชัดซึ่งเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันและยังส่งผลต่อบุคลิกภาพของเราด้วย แต่หลังจากการเข้ารับการจัดฟันไปซักระยะอาการเหล่านี้ก็จะหายไป เนื่องจากช่องปากของเราเริ่มชินกับการที่มีเครื่องมือติดตั้งอยู่บนผิวฟัน ทำให้สามารถปรับตัวได้และปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน ยังมีอุปสรรคอย่างหนึ่งนั่นก็คือการรับประทานอาหารเพราะอาจจะทำให้รับประทานอาหารได้ไม่เต็มที่ รวมไปถึงประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารลดลง เนื่องจากการที่เรามีเครื่องมือจัดฟันอยู่ภายในช่องปากนั้น ทำให้เราบดเคี้ยวอาหารได้ยาก

ซึ่งการจัดฟันแบบใส่เหล็กจัดฟันนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงของวัยรุ่นซึ่งแน่นอนว่าวัยรุ่นจะต้องชื่นชอบกับการรับประทานอาหารที่มีความแข็ง เช่น ลูกอม หมากฝรั่ง ซึ่งต้องบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นศัตรูกับเหล็กจัดฟันเลยทีเดียว เพราะทำให้เข้าไปติดในเหล็กจัดฟันได้ง่ายและทำความสะอาดออกได้ยากนั่นเอง และถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีความแข็งเหนียวเป็นประจำ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเสียหายของเครื่องมือได้ เพราะเวลาที่เรารับประทานอาหารที่มีความแข็ง เราจะต้องใช้แรงกัดค่อนข้างมาก อาจจะส่งผลกระทบต่อเครื่องมือการจัดฟันและอาจจะทำให้เครื่องมือหลุดออกมาได้ขณะที่เรารับประทานอาหาร นี่คือปัญหาหลักๆของผู้เข้ารับการจัดฟันที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปากหรือที่เรียกว่าการจัดฟันแบบทั่วไป

แต่ในแง่ของการจัดฟันแบบใสนั้น ปัญหาเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นเพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใส สามารถถอดเข้าออกได้อย่างง่ายดายและเครื่องมือการจัดฟันยังถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคล ทำให้เข้ากับช่องปากของเราได้เป็นอย่างดี ไม่มีอาการหลวม หรือไม่ทำให้เครื่องมือการจัดฟันหลุด ในเรื่องของการพูด การออกเสียง อาจจะเกิดในช่วง 1-2 วัน หลังจากสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสหรือบางรายอาจจะไม่มีปัญหาในเรื่องของการพูด การออกเสียงเลย เพราะเครื่องมือมีความพอดีกับช่องปากของเราและในส่วนของการรับประทานอาหารนั้น หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถถอดเครื่องมือออกได้ขณะรับประทานอาหาร จึงทำให้สามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ มีการบดเคี้ยวที่ดีขึ้น เพราะเวลาที่เรารับประทานอาหารเราสามารถถอดเครื่องมือออกได้

ดังนั้น เครื่องมือการจัดฟันจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการรับประทานอาหารของผู้เข้ารับการจัดฟัน ทั้งยังช่วยทำให้เราสามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่และหลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการจัดฟันควรที่จะทำความสะอาดช่องปากและฟันให้สะอาดทุกซอกทุกมุม เพื่อลดการเกิดฟันผุ เราก็ยังยืนยันว่าการจัดฟันแบบใสจะช่วยทำให้เราบดเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น ทั้งยัง ช่วยป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารอีกด้วยและในแง่ของสุขภาพช่องปากและฟันก็สามารถทำความสะอาดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องคำนึงถึงเครื่องมือการจัดฟันที่อาจจะหลุดได้ขณะแปรงฟัน จึงทำให้การจัดฟันแบบใสช่วยเสริมสร้างในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการจัดฟันได้เป็นอย่างดี


หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เรามีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและมีทันตแพทย์คอยให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง เพราะทันตแพทย์ของเราผ่านประสบการณ์มาอย่างยาวนาน มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมเป็นอย่างดี ด้วยการการันตีประสบการณ์กว่า 10 ปี ทั้งนี้ ทางคลินิกของเรายังได้รับการรับรองสูงสุดจากINVISALIGN ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพราะการจัดฟันแบบใสจะต้องทำกับทันตแพทย์ที่ผ่านการรับรองแล้วเท่านั้น เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

8
ดอกเบี้ยเงินฝาก: บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ KKP Savvy-ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP)
ดอกเบี้ย : 0.500 - 1.600 % (มี 4 ช่วงดอกเบี้ย)

จุดเด่น
รับดอกเบี้ยสูง เหมือนเงินฝากประจำ
เปิดง่ายไม่ต้องไปสาขา แค่เปิดบัญชีออนไลน์ผ่าน KKP Mobile Application
เปิดบัญชีเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ต้องใช้เอกสารในการเปิดบัญชี
ไม่ต้องพกสมุดบัญชี เพื่อทำธุรกรรม

รายละเอียดบัญชี
สถาบันการเงิน : ธนาคารเกียรตินาคินภัทร
ชื่อบัญชี : บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ KKP Savvy

จุดเด่น :
รับดอกเบี้ยสูง เหมือนเงินฝากประจำ
เปิดง่ายไม่ต้องไปสาขา แค่เปิดบัญชีออนไลน์ผ่าน KKP Mobile Application
เปิดบัญชีเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ต้องใช้เอกสารในการเปิดบัญชี
ไม่ต้องพกสมุดบัญชี เพื่อทำธุรกรรม

 ลักษณะบัญชี : ไม่ต้องฝากทุกเดือน
ผู้มีสิทธิฝากและคุณสมบัติ : บุคคลธรรมดา
เปิดบัญชีขั้นต่ำ : ไม่กำหนด
ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ : ไม่กำหนด
ประเภทอัตราดอกเบี้ย : แบบอัตราคงที่

อัตราดอกเบี้ย
ผู้ฝาก             ช่วงเงินฝากที่เลือก                           ดอกเบี้ย
บุคคลธรรมดา   น้อยกว่า 10,000 บาท                   0.500 %
ตั้งแต่                 10,000 ถึง 1,000,000 บาท           1.500 %
ตั้งแต่                 1,000,001 ถึง 5,000,000 บาท   1.600 %
                       มากกว่า 5,000,000 บาท                    0.500 %

หมายเหตุ : อ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยธนาคารตามประกาศฉบับล่าสุด ดูได้ที่นี่

  รายละเอียดอัตราดอกเบี้ย

ยอดเงินฝากน้อยกว่า 10,000 บาท รับอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี
ยอดเงินฝากตั้งแต่ 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท รับอัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี
ยอดเงินฝากมากกว่า 200,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท รับอัตราดอกเบี้ย 1.60% ต่อปี
ยอดเงินฝากมากกว่า 2,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 5,000,000 บาท รับอัตราดอกเบี้ย 1.80% ต่อปี
ส่วนที่เกิน 5,000,000 บาทขึ้นไป รับอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี

 การจ่ายดอกเบี้ย : จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน
สิทธิการถอนก่อนกำหนด : สามารถถอนได้ โดยได้รับดอกเบี้ยตามจริง
ช่วงที่เปิดรับฝาก : ไม่กำหนด
เงื่อนไขสำคัญ :
บัญชีเงินฝาก KKP Savvy เป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แบบไม่มีสมุดคู่ฝาก
ผู้ฝากสามารถขอเเปิดบัญชีได้เฉพาะบัญชีที่มีชื่อบุคคลเดียวเป็นเจ้าของบัญชี และผู้ฝาก 1 ราย เปิดได้ 1 บัญชีเท่านั้น ตลอดจนไม่สามารถขอเปิดบัญชีร่วม หรือเพื่อบุคคลอื่นได้
ผู้ฝากต้องมี Email Address และต้องสมัครใช้บริการ KKP e-Banking เพื่อใช้สำหรับการเปิดบัญชี และทำธุรกรรมทางการเงิน
ผู้ฝากสามารถเปิดบัญชีได้ด้วยตนเองผ่าน KKP Mobile Application ตั้งแต่เวลา 0.600 - 22.00 น. โดยทำการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนผ่านบริการ NDID และสามารถพิสูจน์ และยืนยันตัวตนได้ที่จุดบริการ AIS โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดจุดให้บริการได้
ไม่จำกัดจำนวนเงินขั้นต่ำในการเปิดบัญชี
ผู้ฝากสามารถทำธุรกรรมฝาก/ถอน/โอน/สมัครบริการอื่นๆ ของธนาคาร ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดไว้
ผู้ฝากไม่สามารถใช้บัญชีนี้เป็นหลักประกันสินเชื่อได้
ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง ณ วันสิ้นเดือนมิถุนายน และธันวาคมของทุกปี โดนธนาคารจะคำนวณดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ เป็นรายวันจากยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นวัน
ในกรณีที่ไม่มียอดเงินคงเหลือในบัญชีนี้ติดต่อกันเกินว่า 90 วันนับจากวันที่เปิดบัญชี ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการปิดบัญชี โดยธนาคารจะแจ้งให้ผู้ฝากทราบล่วงหน้าก่อนดำเนินการปิดบัญชี
ในกรณีที่ผู้ฝากปิดบัญชีภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่เปิดบัญชี ธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารประกาศกำหนด โดยธนาคารจะแจ้งให้ผู้ฝากทราบล่วงหน้าก่อนดำเนินการปิดบัญชี
ในกรณีที่บัญชีไม่มีรายการเคลื่อนไหวตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป และยอดเงินคงเหลือในบัญชีน้อยกว่า 1,000 บาท ธนาคารมีสิทธิ์หักค่ารักษาบัญชีเงินฝากตามที่ธนาคารประกาศกำหนด โดยธนาบล่วงหน้าทุกครั้งก่อนหักค่ารักษาบัญชี

9
หมอประจำบ้าน: ไส้เลื่อน (Hernia)

ไส้เลื่อน หมายถึง ภาวะที่มีลำไส้บางส่วนเคลื่อนตัวหรือไหลเลื่อนมาตุงที่ผนังหน้าท้อง เห็นเป็นก้อนนูนตรงบริเวณใดบริเวณหนึ่งของหน้าท้อง พบบ่อยที่บริเวณสะดือ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน รอยแผลเป็นจากการผ่าตัดช่องท้อง*

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 1-2 ของประชากรทุกกลุ่มอายุ สำหรับกลุ่มอายุมากกว่า 45 ปีพบได้ประมาณร้อยละ 4

ไส้เลื่อน แบ่งออกเป็นหลายชนิดตามสาเหตุและตำแหน่งที่พบ อาทิ

    ไส้เลื่อนสะดือ (umbilical hernia) หรือ สะดือจุ่น พบบ่อยในทารก มักมีอาการตั้งแต่แรกเกิด เมื่อเด็กร้องไห้จะเห็นสะดือโป่ง ส่วนใหญ่จะหายได้เองก่อนอายุได้ 1-2 ปี ส่วนน้อยจะหายเมื่ออายุได้ 2-5 ปี

ไส้เลื่อนสะดือ ก็อาจพบในผู้ใหญ่ได้ เนื่องจากมีภาวะที่ทำให้หน้าท้องบริเวณรอบสะดืออ่อนแอและเกิดแรงดันในช่องท้องสูง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    ไส้เลื่อนขาหนีบ (inguinal hernia) นับเป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด (ประมาณร้อยละ 70 ของไส้เลื่อนทั้งหมด) พบในเด็กโตและผู้ใหญ่ และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 10 เท่า (พบว่าในชั่วชีวิตของทุกคนมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนประมาณร้อยละ 27 สำหรับผู้ชาย ร้อยละ 3 สำหรับผู้หญิง) จะพบอาการมีก้อนนูนที่บริเวณขาหนีบ ในผู้ชายบางรายอาจมีลำไส้ไหลเลื่อนลงมาที่ถุงอัณฑะ เรียกว่า "ไส้เลื่อนลงอัณฑะ"

ผู้ป่วยอาจมีหน้าท้องตรงบริเวณขาหนีบอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด แต่อาการของไส้เลื่อนมักจะปรากฏเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน บางรายอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากมีภาวะที่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนแอและเกิดแรงดันในช่องท้องสูง

    ไส้เลื่อนต้นขา (femoral hernia) พบที่บริเวณต้นขาด้านใน ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าขาหนีบ พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของไส้เลื่อนทั้งหมด พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
    ไส้เลื่อนรอยแผลผ่าตัด (incisional hernia) พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของไส้เลื่อนทั้งหมด เนื่องจากผนังหน้าท้องในบริเวณแผลผ่าตัดมีความอ่อนแอกว่าปกติ ทำให้ลำไส้ไหลเลื่อนเป็นก้อนนูนที่บริเวณนั้น

*นอกจากนี้ยังมีไส้เลื่อนที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ที่พบบ่อยได้แก่ ไส้เลื่อนกะบังลม (hiatal hernia/diaphragmatic hernia) ซึ่งเป็นภาวะที่กระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้

สาเหตุ

เกิดจากผนังหน้าท้องบางจุดมีความอ่อนแอ (หย่อนยาน) ผิดปกติ ทำให้ลำไส้ที่อยู่ข้างใต้เคลื่อนตัวหรือไหลเลื่อนเข้าไปในบริเวณนั้น ความบกพร่องดังกล่าวอาจมีมาแต่กำเนิด หรืออาจเกิดขึ้นในภายหลังเมื่ออายุมากขึ้นก็ได้

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดไส้เลื่อน ได้แก่

    การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นไส้เลื่อน
    การมีประวัติเป็นไส้เลื่อนในวัยเด็กหรือเคยผ่าตัดไส้เลื่อนมาก่อน
    การมีประวัติผ่าตัดช่องท้องมาก่อน
    ผู้สูงอายุ ซึ่งมีการเสื่อมของผนังหน้าท้อง
    ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักตัวน้อย ซึ่งผนังหน้าท้องส่วนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังยังไม่เจริญแข็งแรงเต็มที่
    ไอเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมอักเสบ หรือถุงลมปอดโป่งพอง ซึ่งเกิดจากการสูบบุหรี่
    ท้องผูกเรื้อรัง ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูงจากการเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ
    ต่อมลูกหมากโต ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูงจากการเบ่งถ่ายปัสสาวะเป็นประจำ
    การมีบุตรหลายคน เนื่องจากการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรบ่อยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอ และมีแรงดันในช่องท้องสูง
    ภาวะอ้วน การยกของหนักเป็นประจำ การมีน้ำในช่องท้อง (เช่น ในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง) และการล้างไตผ่านทางช่องท้อง (ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง) ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูง

อาการ

ทารกที่สะดือจุ่น จะมีอาการสะดือโป่งชัดเจนเวลาร้องไห้ โดยเด็กสบายดี และไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด

ในผู้ใหญ่ หากไส้เลื่อนมีขนาดเล็ก อาจไม่มีอาการชัดเจน เช่น ในผู้หญิงที่เป็นไส้เลื่อนต้นขา มักไม่พบก้อนนูนที่บริเวณต้นขา แต่อาจมีอาการปวดบริเวณต้นขาเป็นครั้งคราวโดยไม่ทราบสาเหตุ จนกว่าก้อนมีขนาดโตขึ้นจึงจะเห็นก้อนนูนได้ชัด

ในรายที่มีไส้เลื่อนขนาดใหญ่ จะมีอาการเป็นก้อนนูนตรงบริเวณที่เป็นไส้เลื่อน (สะดือ ขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด) สำหรับไส้เลื่อนขาหนีบซึ่งพบมากในผู้ชาย หากมีลำไส้เลื่อนไหลลงมาที่ถุงอัณฑะ จะพบว่ามีก้อนนูนที่ถุงอัณฑะ ทำให้อัณฑะบวมโตกว่าอีกข้างที่ปกติ

ก้อนนูนของไส้เลื่อนมักจะเห็นชัดขณะลุกขึ้นยืน ยกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย เวลานอนหงายก้อนจะเล็กลงหรือยุบหายไป ก้อนมีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด (นอกจากในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจมีอาการปวดไส้เลื่อนอย่างฉับพลัน หรือปวดท้องรุนแรง)
ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้จนไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะมีลำไส้ไหลเลื่อนลงมาที่ผนังหน้าท้องจำนวนมากขึ้น จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ กล่าวคือ ไส้เลื่อนอาจเกิดการติดค้างอยู่ที่บริเวณผนังหน้าท้อง (เช่น สะดือ ขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด) ไม่สามารถไหลกลับเข้าช่องท้องได้ตามปกติ เรียกว่า ไส้เลื่อนชนิดติดคา (incarcerated hernia) ซึ่งอาจทำให้มีอาการของลำไส้อุดกั้น คือปวดท้องรุนแรง อาเจียนบ่อย ไม่ผายลม ไม่ถ่ายอุจจาระ

ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้ลำไส้ส่วนที่ติดค้างอยู่ถูกบีบรัดจนบวมและขาดเลือดไปเลี้ยง ในที่สุดเนื้อเยื่อลำไส้จะตายเน่า (gangrene) เรียกว่า ไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด (strangulated hernia) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง ก้อนไส้เลื่อนปวดเจ็บมาก และผิวหนังบริเวณนั้นมีสีแดงหรือสีคล้ำ ต่อมาลำไส้ที่ตายเน่าเกิดการทะลุก็จะกลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งจะตรวจพบสะดือโป่ง หรือก้อนนูนที่บริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด

บางรายแพทย์อาจวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

1. สะดือจุ่นในเด็กเล็ก แนะนำให้สังเกตอาการโดยไม่ต้องให้การรักษาใด ๆ แพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขเมื่อสะดือจุ่นมีอาการปวด, มีอาการปวดท้องและอาเจียนรุนแรง (จากภาวะลำไส้อุดกั้นแทรกซ้อน), สะดือจุ่นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1-2 ซม., เมื่อครบอายุ 2 ปีแล้วสะดือจุ่นขนาดยังไม่เล็กลง หรือเมื่ออายุครบ 5 ปีแล้วยังไม่ยุบหายดี

2. สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไส้เลื่อนสะดือ แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการปวดหรือก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น

3. ไส้เลื่อนที่พบบริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด ถ้ามีขนาดเล็กและไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการ และนัดมาตรวจเป็นระยะ หากพบว่าก้อนมีขนาดใหญ่หรือมีอาการปวด หรือผู้ป่วยมีความวิตกกังวล แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วน คือ นัดให้มารับการผ่าตัดเมื่อสะดวกและมีความพร้อม

4. ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง หรือก้อนติดคา แพทย์จะทำการผ่าตัดแบบเร่งด่วน

ผลการรักษา สำหรับไส้เลื่อนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดช่วยให้หายเป็นปกติได้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีไส้เลื่อนเกิดขึ้นใหม่ในเวลาต่อมาได้

ในรายที่ปล่อยไว้จนกลายเป็นไส้เลื่อนชนิดติดคา และเกิดภาวะลำไส้อุดกั้น และ/หรือเป็นไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด ถ้าได้รับการผ่าตัดอย่างทันท่วงทีก็จะปลอดภัยและหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจได้รับอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการก้อนนูนที่บริเวณหน้าท้อง ขาหนีบ หรือต้นขาเป็นครั้งคราวขณะลุกขึ้นยืน ยกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย ควรปรึกษาแพทย์


เมื่อตรวจพบว่าเป็นไส้เลื่อน ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด สำหรับกรณีต่อไปนี้

    ในรายที่ยังไม่ได้รักษาด้วยการผ่าตัด และแพทย์แนะนำให้สังเกตอาการ หรือรอนัดผ่าตัด หากมีอาการไส้เลื่อนติดค้างอยู่ข้างนอก ไม่ไหลกลับเข้าไปในช่องท้องอย่างที่เคย ก้อนไส้เลื่อนมีอาการปวดเจ็บ หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง หรืออาเจียนมาก ควรไปพบแพทย์โดยด่วน
    ในรายที่แพทย์รักษาด้วยการผ่าตัด และกลับมาพักฟื้นที่บ้าน หากมีอาการผิดปกติ (เช่น มีไข้ ปวดท้อง อาเจียน กินอาหารไม่ได้ แผลอักเสบ เป็นต้น) มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา หรือมีความวิตกกังวล ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากผู้ป่วยไส้เลื่อน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไส้เลื่อนขาหนีบ ไส้เลื่อนสะดือ) มักเกิดจากการมีความอ่อนแอของผนังหน้าท้องมาแต่กำเนิด

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดแรงดันในช่องท้องสูง อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนและการกำเริบซ้ำของโรคนี้     

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ไม่สูบบุหรี่ เพื่อป้องกันโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง (ซึ่งทำให้มีอาการไอเรื้อรัง)
    ป้องกันท้องผูกด้วยการกินอาหารที่มีกากใยมาก และดื่มน้ำมาก ๆ
    หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
    หากมีอาการไอเรื้อรัง ท้องผูก ต่อมลูกหมากโต ควรรีบดูแลรักษาให้อาการทุเลาลง

ข้อแนะนำ

1. ควรอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจถึงสาเหตุและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นของโรคไส้เลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไส้เลื่อนที่ขาหนีบ ซึ่งพบว่าบางคนรู้สึกว่าการมีก้อนนูนที่ขาหนีบเป็นสิ่งที่น่าละอาย และไม่กล้าไปพบแพทย์

2. การรักษาไส้เลื่อนให้หายขาดมีอยู่ทางเดียวคือการผ่าตัดซ่อมแซมผนังหน้าท้องให้แข็งแรง ซึ่งแพทย์จะนัดทำในเวลาที่เหมาะสม ระหว่างที่รอนัดมาผ่าตัด (ซึ่งอาจนานเป็นแรมปี) ผู้ป่วยควรสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง ถ้าหากมีอาการปวดท้อง อาเจียน หรือความผิดปกติอื่น ๆ ก็ควรไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

3. ในปัจจุบันการผ่าตัดมีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (open surgery) ซึ่งทำกันมาแต่เดิมแล้ว ยังมีวิธีใหม่ ๆ อาทิ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (laparoscopic surgery) และการใช้แขนกลช่วยผ่าตัดด้วยระบบดาวินชี (robotic-assisted da Vinci surgical system) ซึ่งการผ่าตัดด้วยวิธีใหม่ ๆ ให้ผลดีกับผู้ป่วยหลายประการ เช่น รอยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมากและเจ็บแผลน้อย เสียเลือดน้อย เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดน้อย อยู่โรงพยาบาลเพียงไม่กี่วัน และฟื้นตัวได้เร็ว

10
งานมอเตอร์โชว์ รถครอบครัว 7 ที่นั่ง ดีไซน์ Premium FORD Everest ราคาพิเศษ รุ่นเริ่มต้น 1,249,000 บาท

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งครอบครัวและความท้าทายทุกเส้นทาง Ford Everest คือคำตอบที่ใช่! ซึ่งคุณจะต้องชื่นชอบรถคันนี้ เพราะเป็นรถที่มีความกว้างขวาง, ยกสูง, รองรับได้ถึง 7 ที่นั่ง ที่สำคัญ...กล้า...ทุกความท้าทาย พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วยสเปคจัดเต็ม พร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน
 
จุดเด่นของ Ford Everest

รถ SUV ขนาดใหญ่ 7 ที่นั่ง เหมาะสำหรับครอบครัวทุกขนาด
ดีไซน์พรีเมียม โดดเด่นทุกมุมมอง
ล้ออัลลอยขนาด 18-20 นิ้ว เพิ่มความสปอร์ตและหรูหรา

ระบบความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัย 7 จุด
ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
สัญญาณเตือนระยะจอดั
กล้องมองหลงขณะถอยจอด และกล้องมองรอบคน 360 องศา
ระบบป้องกนล้อล็อก ABS และกระจายแรงเบรก EBD
เบรกมือไฟฟ้า
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีพร้อม Electric Brake Booster
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชันและระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา
จุดยึดสําหรับเบาะนั่งเด็ก
สัญญาณกันขโมย และระบบกุญแจนิรภัย

ระบบความปลอดภัยขั้นสูง
กล้องมองรอบคน 360 องศา
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ
ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน
ระบบเตือนการชนด้านหน้า
ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน
ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง
ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด
ระบบป้องกนการชนเมื่อถอยหลัง
ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ
ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ
ระบบตรวจเช็กลมยาง

เครื่องยนต์

ดีเซล 2.0 ลิตร (1,996 ซีซี.) 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว เทอร์โบชาร์จเจอร์พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 170 แรงม้า แรงบิด 405 นิวตันเมตร
ดีเซล 2.0 ลิตร (1,996 ซีซี.) 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว เทอร์โบชาร์จเจอร์คู่พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร
ดีเซล 3.0 ลิตร (2,993 ซีซี.) 6 สูบ 24 วาล์ว เทอร์โบชาร์จเจอร์ 250 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร

ราคาพิเศษและโปรโมชัน

สำหรับ Ford EVEREST ราคาพิเศษ รุ่นเริ่มต้น  1,249,000 บาทเท่านั้น โดยมีทั้งหมด
Trend ราคา 1,249,000 บาท (จากราคา 1,397,000 บาท)
Sport ราคา 1,527,000 บาท
Sport Special Edition ราคา 1,599,000 บาท (จากราคา 1,619,000 บาท)
Titanium+ ราคา 1,767,000 บาท
Titanium+ 4X4 ราคา 1,917,000 บาท
Wildtrak 4X4 ราคา 1,942,000 บาท
Platinum ราคา 2,284,000 บาท

จอง Ford Everest วันนี้
Sport Special Edition : จองวันนี้ราคาพิเศษ 1,599,000 บาท พร้อมฟรี! โปรแกรม Ford Care รับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และชุดแต่งจากโรงงาน นาน 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน), และรับดอกเบี้ยพิเศษ 0.99%, ประกันถัยชั้น 1 สำหรับรุ่น Sport Special Edition
Sport : พิเศษ! ดอกเบี้ย 0.99% พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง, ฟรี! โปรแกรม Ford Care รับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่จากโรงงาน นาน 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน), และรับดอกเบี้ยพิเศษ 0.99%, ประกันถัยชั้น 1 สำหรับรุ่น Sport
Trend : ฟรี! โปรแกรม Ford Care รับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่จากโรงงาน นาน 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

หมายเหตุ
ระยะเวลาโปรโมชั่น ตั้งแต่วันนี้ - 31 พ.ค.68 เท่านั้น
ข้อเสนอพิเศษมีจำนวนจำกัด สามารถคลิกลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ได้เลย
เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

11
จัดฟันบางนา: วิธีการประเมินฟัน ก่อนเข้ารับการ จัดฟันแบบใส Invisalign

การจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟันที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการวางแผนการรักษาของทันตแพทย์ผู้ทำการรักษา เป็นการจัดฟันรูปแบบใหม่ที่มีข้อดีมากมาย สะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน จัดฟันแบบที่สามารถมองเห็นเครื่องมือการจัดฟันได้ยาก ถือว่าเป็นธรรมชาติมากกว่าการจัดฟันแบบทั่วไป ที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก

การจัดฟันแบบใส Invisalign เป็นที่นิยมในหมู่ดารา นักแสดง หรือผู้ที่ทำอาชีพที่ต้องใช้ภาพลักษณ์ เช่น พิธีกรหรือผู้ประกาศข่าว เพราะการจัดฟันแบบใส จะช่วยให้เสริมบุคลิกภาพ เพราะสามารถมองเห็นเครื่องมือการจัดฟันได้ยาก รวมไปถึงไม่ส่วผลต่อการพูดคุยอีกด้วย เหมือนกันการใส่เหล็กจัดฟันที่จะทำให้เกิดปัญหาพูดไม่ชัด ซึ่งทำให้เสียความมั่นใจ

สำหรับการประเมินฟัน ก่อนเข้ารับการรักษาปัญหาฟันด้วยการจัดฟันแบบใส Invisalign จะทำการประเมินโดยทันตแพทย์ผู้ทำการรักษา และทันตแพทย์จะต้องได้รับการผ่านอบรมการจัดฟันแบบใส Invisalign และได้รับการรองรับจากอเมริกาให้ทำการจัดฟันแบบใส Invisalign ได้ การประเมินฟันในการจัดฟันแบบใส ทันตแพทย์จะทำการประเมินฟันในกรณี

ข้อแรกการเคลื่อนหมุนของฟัน ก็คือฟันบนกับฟันล่างไม่สบกันเมื่อขบฟัน ฟันสบไขว้ คือการที่ฟันล่างซี่หนึ่งคร่อมฟันบน ฟันซ้อน ก็คือ เมื่อมีฟันมากจนเกิดพื้นที่ของขากรรไกรทำให้ฟันเกิดการเรียงตัวไม่ตรงตำแหน่ง ปัญหาการที่ฟันล่างคร่อมฟันบน ฟันสบลึก คือการที่ฟันบนยื่นคร่อมฟันล่าง และกรณีสุดท้าย ฟันห่าง ก็คือ เมื่อมีช่องว่างระหว่างฟันที่หากกันมากเกินไป ในกรณีที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการประเมินฟันก่อนเข้ารับการจัดฟันแบบใส Invisalign

ถึงแม้การประเมินฟันของทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาจะมีความละเอียดเป็นอย่างมาก เพราะการจัดฟันแบบใส ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ทุกกรณี ตั้งแต่ฟันยื่นเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาฟันซ้อนแชเกกันอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบใส Invisalign ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ทุกรูปแบบ และการจัดฟันแบบใส

จะทำให้ผู้ที่เขา้ารับการรักษามีสุขภาพฟันที่ดี เพราะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ขณะแปรงฟัน และสามารถใช้ไหมขัดฟันในการทำความสะอาดฟันได้ด้วย หากต้องการที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถเข้ามาขอคำแนะนำ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ที่คลีนิคที่มีประสบการณ์การจัดฟันมาอย่างยาวนาน

12
Doctor At Home: มะเร็งเต้านม (Breast cancer)

มะเร็งเต้านม พบเป็นอันดับที่ 2 ของมะเร็งในผู้หญิง เริ่มพบได้ตั้งแต่วัยสาว และพบมากขึ้นตามอายุ ส่วนมากจะพบในช่วงอายุมากกว่า 40 ปี มะเร็งเต้านมพบว่ามีความสัมพันธ์กับการมีระดับเอสโทรเจนในเลือดสูงเป็นเวลานาน

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างปัจจัยทางกรรมพันธุ์กับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

พบว่าร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยมีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ คือ มียีนที่เรียกว่า "ยีนมะเร็งเต้านม (breast cancer gene, BRCA)" ซึ่งสามารถถ่ายทอดให้ลูกหลาน ผู้ที่มียีนนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่

พบว่าโรคนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่

    มีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน
    มีประวัติว่ามารดาหรือพี่น้องเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ถ้ามีญาติเป็นมะเร็งเต้านมก่อนวัยหมดประจำเดือน ยิ่งมากคนก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น
    การมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี
    การมีภาวะหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี
    การมีบุตรคนแรกหลังอายุ 30 ปี หรือการไม่มีบุตร
    การใช้ฮอร์โมนทดแทนหลังวัยหมดประจำเดือนนานเกิน 4 ปี
    การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่อายุยังน้อยและใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมก่อนวัยหมดประจำเดือน
    ภาวะอ้วน
    การสูบบุหรี่
    การดื่มสุราจัด
    การได้รับรังสีตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยสาว


อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจน ต่อมาจะมีอาการคลำได้ก้อนที่เต้านม หัวนมบุ๋ม (จากเดิมที่ปกติ) เต้านมใหญ่ขึ้นหรือรูปทรงผิดปกติ มีน้ำเหลืองหรือเลือดออกจากหัวนม หรือผิวหนังตรงเต้านมมีสีแดงและขรุขระคล้ายผิวส้ม ในระยะท้ายอาจคลำได้ก้อนน้ำเหลืองที่รักแร้


ภาวะแทรกซ้อน

มะเร็งเต้านมที่เป็นก้อนโตขึ้นอาจทำให้มีอาการเจ็บปวดทรมาน

ในระยะท้าย มะเร็งมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน อาทิ

    ปอด ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ภาวะมีน้ำหรือเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอด หายใจลำบาก
    ตับ ทำให้เจ็บใต้ชายโครงขวา อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลืองตาเหลือง มีน้ำในท้อง (ท้องมาน)
    กระดูก ทำให้ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ (ขาชาและเป็นอัมพาต มีความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ) ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (ทำให้เป็นนิ่วไต ไตวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ สมองเสื่อม หมดสติ)
    สมอง ทำให้ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก หมดสติ สมองเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammogram) และการผ่าหรือเจาะเอาชิ้นเนื้อเต้านมไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (breast  biopsy)

ถ้าพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อดูการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ปอด กระดูก สมอง ด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์, เอกซเรย์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์,  การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI), การตรวจสแกนกระดูก, การตรวจเพทสแกน (PET scan) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเต้านม (อาจตัดเต้านมออกบางส่วน หรือตัดออกทั้งหมด) พร้อมกับเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออก

นอกจากนี้จะให้การรักษาเสริมด้วยรังสีบำบัด เคมีบำบัด ฮอร์โมนบำบัด (โดยให้กินยาทาม็อกซิเฟน-tamoxifen ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเอสโทรเจน) อิมมูนบำบัด (โดยการให้อินเตอร์เฟอรอน หรือ monoclonal antibody) และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drug)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ได้ผลดี ถ้าเป็นระยะแรกมักจะมีชีวิตอยู่ได้นานหรือหายขาด (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี มากกว่าร้อยละ 95) แต่ถ้ามะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว ก็มักจะได้ผลไม่สู้ดี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณร้อยละ 20-25)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น คลำได้ก้อนที่เต้านม หรือสังเกตเห็นเต้านมมีลักษณะผิดปกติ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก  กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การดื่มสุราจัด และการใช้เอสโทรเจนเป็นเวลานาน
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    ลดการบริโภคเนื้อแดง
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นเลี้ยงบุตรด้วยนมตัวเอง (พบว่ามารดาที่ให้บุตรดื่มนมตัวเองนานเกิน 2 ปี ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมลง)
    ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตรวจเลือดหา "ยีนมะเร็งเต้านม (breast cancer gene, BRCA)" และผู้ที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาให้กินยาป้องกัน ได้แก่ ยาต้านเอสโทรเจน (เช่น tamoxifen, raloxifene เป็นต้น) หรือในบางกรณีแพทย์อาจป้องกันด้วยการผ่าตัดเต้านมออกไป

ข้อแนะนำ

1. เนื่องจากการค้นพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรกเริ่มมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นผู้หญิงทุกคนควรตรวจเต้านมด้วยตนเอง พบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมหรือถ่ายภาพรังสีเต้านม ตามเกณฑ์อายุดังนี้

    อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างน้อยเดือนละครั้ง
    อายุ 30-39 ปี ควรพบแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับการฝึกอบรม เพื่อตรวจเต้านมทุก 3 ปี และอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจปีละครั้ง
    อายุระหว่าง 40-44 ปี ควรเริ่มรับการตรวจหามะเร็งระยะแรกเริ่ม (โดยที่ยังเป็นปกติดี คือ ยังคลำไม่ได้ก้อนที่เต้านมแต่อย่างใด) ด้วยการถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammography) เป็นครั้งแรก, อายุ 45-54 ปี ควรตรวจปีละครั้ง และอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุก 1-2 ปี

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว) อาจจำเป็นต้องตรวจถี่กว่าปกติ

2. หากตรวจพบก้อนที่เต้านม ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด ไม่ควรนิ่งนอนใจ ปล่อยปละละเลย หรือกลัวและไม่กล้าไปตรวจกับแพทย์ ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับการเยียวยารักษาให้ได้ผลดีตั้งแต่แรก จริง ๆ แล้วก้อนที่เต้านมไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งเสมอไป แต่เนื่องจากการตรวจคลำด้วยมือไม่อาจแยกว่าเป็นเนื้อดีหรือร้ายได้ จำเป็นต้องให้แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี


การตรวจเต้านมด้วยตนเอง

1. การคลำเต้านมในท่ายืน ใช้ฝ่ามือด้านตรงข้ามคลำตรวจเต้านมทีละข้าง สังเกตดูว่ามีก้อนอะไรดันอยู่หรือสะดุดใต้ฝ่ามือหรือไม่ (มะเร็งของเต้านมมักจะพบที่ส่วนบนด้านนอกของเต้านมมากกว่าส่วนอื่น จึงควรสังเกตดูบริเวณนี้ให้ละเอียด)

2. และ 3. การดูเต้านมตรงหน้ากระจกเงา ในท่ามือเท้าเอวและท่าชูมือขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตดูลักษณะเต้านมทั้ง 2 ข้างโดยละเอียด เปรียบเทียบดูขนาด รูปร่างของหัวนม และการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังทุกส่วนของเต้านม (เช่น รอยนูนขึ้นผิดปกติ รอยบุ๋ม หัวนมบอด ระดับของหัวนมไม่เท่ากัน)

4. การคลำเต้านมในท่านอน ควรใช้หมอนหรือผ้าห่มหนุนตรงสะบัก ให้อกด้านที่จะตรวจแอ่นขึ้น ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ

5. (ในท่านอน) ใช้ฝ่ามือข้างซ้ายคลำเต้านมข้างขวาโดยคลำไปรอบ ๆ หัวนมเป็นรูปวงกลม ไล่จากด้านนอกเข้ามายังหัวนม

6. แล้วใช้นิ้วบีบหัวนม สังเกตดูว่ามีน้ำเหลือง หรือเลือดออกจากหัวนมหรือไม่ ให้ทำการตรวจเต้านมข้างขวาโดยใช้มือซ้าย ทำซ้ำข้อ 4, 5, 6

13
ฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ดี แค่กันความร้อนได้ดีอย่างเดียวไม่พอ

ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมทุกคนต่างทราบดีว่า “ฉนวนกันความร้อน” สำหรับโรงงานนั้น ถือเป็นวัสดุสำคัญที่มีความจำเป็นอย่างมาก ต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และช่วยลดต้นทุนเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจได้มากขึ้น ด้วยเพราะมีส่วนสำคัญให้การสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ที่อาจเสียหายได้จากการปล่อยให้โรงงานร้อนเกินไป

แต่ทั้งนี้ การจะบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้นั้น นอกจากจะต้องเลือกใช้ ฉนวนกันความร้อน ที่กันความร้อนได้ดีแล้ว ก็ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องมีให้ฉนวนโรงงานนั้น ๆ อีกหลายประการ ดังต่อไปนี้


1.ต้องทนต่อแรงกดทับได้ดี

ฉนวนกันความร้อนในโรงงานจะมีตำแหน่งการใช้งานที่หลากหลายแตกต่างกันไป อาทิ ให้หุ้มท่อน้ำร้อนน้ำเย็น ใช้บุในท่อลม ท่อระบบปรับอากาศ ให้ครอบห้องเครื่องจักร หรือใช้ครอบคลุมตัวเครื่องจักร ตลอดจนหลังคาโรงงาน เป็นต้น

นั่นหมายความว่า ตัวฉนวนจะต้องถูกดัด ปรับรูปทรงไปตามพื้นที่นั้น ๆ หรืออาจต้องถูกกดทับจากสิ่งต่าง ๆ โดยรอบ ด้วยเหตุนี้เอง ฉนวนกันความร้อนที่ดีจึงต้องมีเนื้อฉนวนที่ยืดหยุ่น คืนตัวได้ดี ทนต่อแรงกดทับได้มาก เพื่อไม่ให้ฉีกขาดง่าย จนเสียรูปทรงและเสียคุณภาพของการเป็นฉนวนไป


2.ต้องป้องกันการควบแน่นเป็นหยดน้ำได้

โรงงานอุตสหกรรมที่มีเครื่องจักรปล่อยความร้อนออกสู่ภายในโรงงานมาก ๆ เมื่ออุณหภูมิของอากาศภายนอก ไม่สมดุลกับอุณหภูมิของความร้อนจากเครื่องจักร หรือ พูดง่าย ๆ คือ เมื่อร้อนมาเจอเย็น ก็จะเกิดการกลั่นตัวควบแน่นกลายเป็นไอน้ำ หยดน้ำ

ซึ่งผลเสียที่ตามมาก็คือ จะทำให้เครื่องจักร หรือ ท่อลำเลียงต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตเกิดสนิม ถูกกัดกร่อน จนเกิดความเสียหายได้ ตัวฉนวนกันความร้อนที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติในการควบคุมการควบแน่นได้ดีด้วย ต้องไม่ทำให้เกิดการกลั่นตัวกลายเป็นไอหรือหยดน้ำได้


3.ต้องมีความปลอดภัยเป็นมิตรต่อชีวิตและทรัพย์สิน

ความปลอดภัยภายในโรงงานอุตหสากรรมถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องกำกับควบคุมดูแลให้ดี ซึ่งอุบัติเหตุอัคคีภัย ไฟฟ้าลัดวงจร จนเกิดการลุกไหม้จนสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินทั้งของตัวโรงงาน และชุมชนใกล้เคียง เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ โดยฉนวนกันความร้อนที่ดีนั้น จำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติในการช่วยควบคุมและลดความเสี่ยงตรงจุดนี้ได้ด้วย คือ ควรเป็นฉนวนที่ทำจากวัสดุไม่ลามไฟ ได้รับมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ

ในขณะเดียวกันก็ควรต้องทำมาจากวัสดุที่ไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ด้วย เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ฉนวนที่ติดตั้งในพื้นที่โรงงาน จะต้องอยู่กับทุกไปนานเป็น 10 ปี ต้องถูกความร้อน ส่งกลิ่น ไอระเหยในพื้นที่ ดังนั้น ถ้ามีสิ่งเจือปนที่ไม่ดีในตัววัสดุฉนวนล่ะก็ สุขภาพร่างกายของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับโรงงานก็จะพาลเป็นอันตรายตามไปด้วยได้ และสุดท้ายก็จะส่งผลเสียต่อธุรกิจในที่สุด

ฉนวนกันความร้อนโรงงาน ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกฉนวนคุณภาพดีที่ผู้ประกอบการยอมรับ โดยได้รับความไว้วางใจใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ไม่ได้แค่มีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนได้ดีเท่านั้น แต่ยังผลิตจากวัสดุพิเศษคือ “ใยแก้ว” เป็นฉนวนที่มีความยืดหยุ่น ป้องกันการควบแน่นได้ดี ไม่ลามไฟ โดยผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM E84 และ BS476

14
การใส่สายอาหารทางหน้าท้อง เพื่อให้ อาหารสายยาง

การให้อาหารทางสายยาง ถือเป็นการรักษาโรคอย่างหนึ่งของผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ จึงต้องมีความจำเป็นที่จะต้องให้ อาหารสุขภาพ ทางสายยางให้อาหาร เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารและพลังงานที่เพียงพอต่อร่างกาย ป้องกันการเกิดภาวะขาดสารอาหารและช่วยรักษาสมดุลของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ การใส่สายอาหารทางหน้าท้องโดยใช้กล้องส่องกระเพาะอาหาร คือการใส่สายยางให้อาหารทางหน้าท้อง โดยใช้กล้องส่องกระเพาะอาหารช่วยนำสายยางให้อาหารเจาะผ่านออกมาทางหน้าท้อง วิธีนี้จะง่าย สะดวก รวดเร็วและผู้ป่วยไม่ต้องเสี่ยงต่อการผ่าตัดใหญ่ ขนาดแผลหน้าท้องจะยาวเพียง 0.5 เซนติเมตร และอาจจะทำให้เกิดแผลเป็นบริเวณหน้าท้อง

ซึ่งการให้อาหารทางสายยางมีอยู่ 2 แบบ ที่มักเห็นได้ทั่วไปก็คือ การให้อาหารทางสายยางผ่านทางรูจมูกและการให้อาหารทางสายยางที่ให้ผ่านหน้าท้อง ซึ่งการให้อาหารโดยใส่สายยางให้อาหารทางหน้าท้องนั้น เป็นวิธีที่ง่ายต่อการให้อาหารมากกว่าการใส่สายยางให้อาหารทางจมูก ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาหารเจ็บและอาจะอาเจียนได้ เนื่องจากต้องใส่สายยางเข้าไปทางจมูก ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดการระคายเคืองและทรมานมาก เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว หรือ มีปัญหาในการกลืน หรือ รับประทานอาหารเองไม่ได้ สามารถใช้วิธีนี้ได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการสำลักอาหารเข้าปอด ผู้ป่วยที่ดึงสายให้อาหารทางจมูกบ่อยครั้ง

สำหรับการเตรียมตัวเพื่อใส่สายให้อาหารทางหน้าท้อง ผู้ป่วยจะต้องงดอาหารและน้ำดื่มก่อนทำประมาณ 6 -8 ชั่วโมง งดยาละลายลิ่มเลือด เช่น Plavix Coumadin หรือ Aspirin เป็นเวลา 7 วันก่อนทำการใส่สายหน้าท้อง เพื่อให้สะดวกแก่การให้อาหารทางสายยางให้อาหารทางหน้าท้อง โดยมีขั้นตอนการทำ ผู้ป่วยจะได้รับยาชาโดยการอมและพ่นในคอ หรือ ให้ยาสลบทางหลอดเลือดดำ หรือ การดมยาสลบแล้วแต่กรณี แพทย์ผู้ทำการรักษาจะใส่กล้องส่องกระเพาะอาหารเข้าไปในปากผ่านหลอดอาหารสู่กระเพาะอาหาร และฉีดยาชาที่หน้าท้องเพื่อเจาะใส่สายให้อาหารซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 – 45 นาที

ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องงดอาหารประมาณ 1 – 3 วันเมื่อแผลเจาะกระเพาะอาหารสมานดี แพทย์จะเริ่มให้อาหารทางหน้าท้อง ซึ่งถือว่าการให้อาหารทางสายยางบริเวณหน้าท้องจะมีวิธีที่ยุ่งยาก ซับซ้อนเพียงขั้นตอนแรก ซึ่งเรื่องของความสะอาดจะต้องคำนึงเป็นอันดับแรก เพราะแผลที่แพทย์ได้ทำการเจาะอาจจะเกิดการติดเชื้อ จึงต้องดูแลรักษาแผลอย่างถูกต้องและสะอาดมากที่สุด หลังจากนั้นในระยะ 1 – 2 สัปดาห์แรกหลังใส่สายให้อาหารทางหน้าท้อง ควรทำความสะอาดแผลรูเปิดและใต้แป้นสายสวน โดยวิธีปราศจากเชื้อ โดยใช้น้ำยาเบตาดีน หรือ 70% แอลกอฮอล์ และปิดผ้าก๊อซปราศจากเชื้อ วันละ 2 ครั้ง (เช้า – เย็น) และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือพยาบาลอย่างเคร่งครัด เพื่อเลี่ยงการติดเชื้อ ต่อมาเมื่อแผลแห้งดีแล้ว ให้ใช้น้ำเกลือล้างแผล หรือ น้ำต้มสุก ทำความสะอาดแผลและใต้แป้นสายสวนให้สะอาด เช็ดให้แห้ง และปิดผ้าก๊อซไว้

ผู้ป่วยสามารถอาบน้ำได้ตามปกติ (ยกเว้นมีข้อห้ามจากแพทย์) และทำความสะอาดแผลตามปกติ (ถ้าขอบแผลอักเสบยังไม่ควรอาบน้ำ) การดูแลสายยางให้อาหารถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ควรทำความสะอาดสายให้อาหารด้านนอกและข้อต่อด้วยสบู่และน้ำสะอาด ส่วนสายสวนชนิดระดับผิวหนังใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำสะอาดเช็ด ไม่ควรหักหรือพับงอสายให้อาหารนานเกินไป อาจทำให้สายแตกหักหรือพับงอ ทำให้เกิดการอุดตันได้ กรณีที่ผู้ป่วยใช้สายให้อาหารทางหน้าท้องชนิดลูกโป่ง ควรหมั่นตรวจสอบว่าตำแหน่งของสายที่ระดับผิวหนังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง


เนื่องจากสายอาจเลื่อนเข้าไปในกระเพาะมากเกินไป ต้องดูแลให้ระดับบ่าท่อที่อยู่ทางหน้าท้องอยู่ที่ขีด 6 เซนติเมตร และควรหมุนตัวสายทุก 2 – 3 วัน เพื่อป้องกันการฝังตัวของหัวเปิดในช่องกระเพาะอาหาร ไม่ควรใช้อาหารที่มีความร้อนเพราะจะทำให้อายุการใช้งานน้อยลง ซึ่งปกติจะใช้ได้นาน 6 – 8 เดือน ทั้งนี้ควรเปลี่ยนสายทุก 6 เดือน หรือเมื่อมีสายบวม หมดสภาพ ต้องทำความสะอาด ปาก ลิ้น และฟัน ของผู้ป่วยทุกวันถึงแม้จะไม่ได้ให้อาหารทางปาก ถ้าผู้ป่วยสามารถบ้วนปากได้ควรให้บ้วนปากบ่อยๆ เพื่อป้องกันมิให้ปากแห้งและป้องกันการติดเชื้อด้วย

15
ขั้นตอนการเตรียมพร้อมก่อนและหลังเข้ารับการฉีดวัคซีน Covid-19

ใครที่ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือกำลังเตรียมตัวไปฉีดวัคซีน Covid-19 โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 กลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง ควรศึกษาการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังฉีดวัคซีน ซึ่งมีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด

• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และควรดื่มน้ำอย่างน้อย 500 – 1,000 ซีซี
• ต้องไม่มีไข้ หรืออาการเจ็บป่วย
• งดออกกำลังกายหนัก 2 วัน ก่อนและหลังการฉีดวัคซีนโควิด
• แจ้งข้อมูลสำคัญที่แพทย์ควรทราบก่อนฉีดวัคซีนโควิด เช่น โรคประจำตัว, ประวัติการแพ้ยาหรือวัคซีน, การตั้งครรภ์หรือวางแผนการตั้งครรภ์, และข้อมูลอื่นๆ ที่แพทย์ควรทราบ

หลังฉีดวัคซีนโควิดควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

• ควรนั่งรอดูอาการประมาณ 30 นาที เพื่อสังเกตอาการข้างเคียง หรืออาการแพ้วัคซีนโควิด
• อาจมีอาการหลังฉีดวัคซีนโควิด โดยอาจอ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย และปวด บวม แดง หรือร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีนโควิด
• หลังฉีดวัคซีนโควิด อาจมีอาการปวดศีรษะหรือกล้ามเนื้อ 1-2 วัน
คำแนะนำ (หากมีไข้ ให้รับประทานพาราเซตามอล 500 มก. ครั้งละ 1 เม็ด)

หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ควรสังเกตอาการ 24 ชั่วโมงแรก หลังการฉีด
แล้วควรสังเกตอาการหลังจากนั้น 7 วัน และอีกครั้งหลังจากนั้น 30 วัน

เช็คก่อน อาการแบบไหน? คือ อาการแพ้วัคซีนโควิด-19

• มีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง
• หลอดลมตีบ หายใจลำบาก
• เจ็บหน้าอก
• มีจุดเลือดออกจำนวนมาก
• ผื่นขึ้นทั้งตัว ผื่นลมพิษ
• อาเจียนมากกว่า 5 ครั้ง
• ปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง
• ชัก หมดสติ
• หน้ามืด เป็นลม

หากสงสัยว่ามีอาการแพ้วัคซีนโควิด หรือมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที หรือติดต่อที่เบอร์โทร 1669

หน้า: [1] 2 3 ... 39
ลงประกาศฟรี ติด google ลงโฆษณา ขายของ ฟรี โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ขายฟรี ขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google