แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 42
1
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


2
บริการด้านอาหาร: เมนูข้าวต้มปลา โปรตีนเยอะ ดีต่อสุขภาพ

 การดูแลสุขภาพเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงนั้น นอกจากการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอแล้ว การรู้จักเลือกรับประทานอาหารก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุขภาพดีได้ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และเพิ่มความสำคัญของการรับประทานอาหารแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด

เพราะอาหารบางชนิดก็เป็นยาดีของสุขภาพร่างกาย ที่ทำให้เรามีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย ซึ่งอาหารที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย นอกเหนือจากสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย

นอกจากนี้อาจช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อโรคต่างๆ และที่สำคัญคือการรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะจะช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และจะส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่ดีด้วย นอกจากนี้ เรายังต้องการควบคุมปริมาณของอาหารที่รับประทานเข้าไปด้วย

รวมทั้งส่งผลต่อเนื่องไปยังการมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย ในทางตรงข้าม หากมีการรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง อาจก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอัมพาต เป็นต้น อีกทั้งมีการมองว่า วัยแต่ละวัยควรได้รับอาหารที่แตกต่างกันตามวัย เช่น ในวัยเด็ก เนื้อสัตว์ ไข่ และนม ยังเป็นสิ่งจำเป็น
เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโต ซึ่งวันนี้จะมาแนะนำเมนูอาหารเพื่อสุขภาพอย่าง ข้าวต้มปลา ซึ่งเป็นเมนูอาหารที่ง่าย แต่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว แถมยังเหมาะกับผู้สูงอายุอีกด้วย เพราะเป็นอาหารที่รับประทานง่าย และให้คุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนเลยทีเดียว

 สำหรับขั้นตอนการทำและวัตถุดิบก็สามารถหาได้ง่าย เริ่มจาก ปลาเก๋า ข่าอ่อน รากผักชี กระเทียม กุ้งแห้ง หมึกแห้ง เกลือ ซีอิ๊วขาว รสดี 1 ช้อนชา ข้าวหอมมะลิ พริกไทย กระเทียมเจียว ขึ้นฉ่าย ต้นหอม พริกน้ำส้ม พริกป่น และวิธีการทำก็ง่ายมาก

โดยเริ่มจากเตรียมและล้างทำความสะอาดปลาและเอาข่าอ่อนไปเผาไฟแล้วสับละเอียด จากนั้นเริ่มทำน้ำซุปตั้งโดยหม้อใส่น้ำเปล่า ใส่รากผักชี กระเทียม กุ้งแห้ง และหมึกแห้ง ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาว และรสดี ต้มไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ ให้หมึกและกุ้งนุ่ม

และตั้งหม้อต้มข้าวโดยข้าวที่ใช้เป็นหอมมะลิ ยางจะข้น ตั้งไฟจนเม็ดข้าวบาน แล้วรินน้ำทิ้ง ล้างยางออกเพื่อให้ข้าวสวยคงเม็ด และน้ำซุปมีความใสไม่ขุ่น หลังจากนั้นก็ตักน้ำซุปใส่หม้อพอประมาณ แล้วใส่ข้าวลงไป เติมข่าป่น ตั้งฉ่าย ต้มแต่พอเดือด

เอาเนื้อปลาลงไปลวกในน้ำซุป ระยะเวลาสุกขึ้นอยู่กับความหนา-บางของชิ้นปลา จากนั้นก็ตักใส่ชาม เติมพริกไทย กระเทียมเจียว ขึ้นฉ่าย และต้นหอม ตามความชอบ ถ้าชอบเผ็ดก็เพิ่มพริกน้ำส้มกับพริกป่นเพียงเท่านี้เราก็จะได้เมนูเพื่อสุขภาพที่สามารถรับประทานได้ทั้งครอบครัว แถมยังให้คุณค่าทางสารอาหารที่เต็มไปด้วยโปรตีน
เนื่องจากเนื้อปลาจะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาจจะมีไขมันจะมีอยู่บ้าง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของปลา อย่างในปลาน้ำจืดจะมีไขมันไม่มากนัก ส่วนปลาทะเล ก็จะมีไขมันอีกประเภท ซึ่งจะแตกต่างจากปลาน้ำจืด

พวกที่เป็นกรดไขมันซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีคุณค่าในแง่ของการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และอาจจะช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจหรือไขมันในเลือดสูงได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังช่วยบำรุงสมอง ช่วยในการพัฒนาสมองในเด็ก โดยเฉพาะปลาทะเล นอกจากจะได้โปรตีนแล้ว ยังจะได้แร่ธาตุไอโอดีน จะมีบทบาทในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะป้องกันที่ไกลจากทะเลก็จะมีความเสี่ยงก็จะเกิดโรคคอพอก ในกลุ่มผู้สูงอายุก็เป็นแหล่งโปรตีน

ที่รับประทานง่าย ย่อยง่ายด้วย อย่างไรก็ตาม การที่เราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงและได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย

 อย่างไรก็ตามทางเราอยากให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และที่สำคัญควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นจะมีประโยชน์ แต่ในทางกลับกันอาหารก็มีโทษด้วยเช่นกัน หากรับประทานผิดวิธี ดังนั้น เราจึงควรเอาใจใส่ในเรื่องของการรับประทานอาหารให้มากยิ่งขึ้น เพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆจากการรับประทานอาหารได้

3
จัดฟันบางนา: ฝังรากฟันเทียม สร้างความมั่นใจให้กับรอยยิ้ม !

หลายคนเคยประสบปัญหาเรื่องของสุขภาพฟันที่มีฟันเรียงตัวกันไม่สวยงาม เนื่องจากมีปัญหาฟันซ้อนเก หรือแม้กระทั่งเกิดช่องว่างระหว่างฟัน เนื่องจากการสูญเสียฟันธรรมชาติไป ซึ่งปัญหาดังกล่าว อาจจะทำให้เสียความมั่นใจ หลายคนอาจจะใช้วิธีการใส่ฟันปลอมซี่เดียว บริเวณช่องว่างเพื่อทำให้ความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม คนที่เคยประสบปัญหาดังกล่าว ก็เลือกการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม เพื่อแก้ไขปัญหา เรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง แต่การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น

ยังมีข้อจำกัดหลายข้อในการรักษา ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ารับการฝังรากฟันเทียมได้ โดยทันตแพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยหลักๆคือ ความแข็งแรงของกระดูกขากรรไกร สุขภาพช่องปาก และปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับโรคประจำตัวของผู้เข้ารับการรักษา เพื่อผลการรักษาที่ดี ซึ่งถึงแม้ว่าการรักาาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมจะเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากสามารถแก้ไขปัญหาการสูญเสียฟันธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่เหมือนกับฟันธรรมชาติ ทั้งยังสามารถอยู่คู่กับช่องปากเราได้ตลอดชีวิตเลย


สำหรับการฝังรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะใช้วัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟันทำจากโลหะไททาเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดีและถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพของฟันของผู้เข้ารับการรักษา ใช้ฝังลงไปในกระดูกขากรรไกรที่ใช้รองรับรากฟันเทียมเพื่อช่วยในการทำฟันเทียมแบบติดแน่นและแบบถอดได้ ปัจจุบันการใส่รากฟันเทียมถือว่าเป็นวิธีการใส่ฟันที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งของการทดแทนฟันที่สูญเสีย และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ผู้เข้ารับการรักษา รากฟันเทียมที่ดูเป็นธรรมชาติและสามารถใช้งานได้ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด โดยผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องกรอแต่งฟันข้างเคียง สามารถบดเคี้ยวได้ดี รับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียว เพื่อจะได้ช่วยลดแรงบดเคี้ยวด้วย การใส่รากฟันเทียมนั้น ยังทำให้ไม่มีปัญหากับการออกเสียง เมื่อเทียบกับฟันเทียมชนิดอื่นๆ ช่วยการใส่ฟันเทียมแบบถอดได้ความรู้สึกสบาย มีความแน่นกระชับมากยิ่งขึ้น

ป้องกันการสูญเสียฟันและกระดูกข้างเคียง ให้ฟันเรียงตัวกันอย่างสวยงาม เป็นธรรมชาติ
เสริมสร้างสุขภาพช่องปากที่ดี มีความคงทนและถาวรเมื่อร่วมกับฟันเทียมแบบถอดได้ จะหมดปัญหาฟันเทียมขยับระหว่างพูดคุย หรือรับประทานอาหาร

เห็นมั้ยว่า การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ช่วยเสริมสร้างในเรื่องของความมั่นใจได้มากเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่มีปัญหาการสูญเสียฟันธรรมชาติ ทั้งยังช่วยให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ดูดี มีรอยยิ้มที่มั่นใจ กลับมามีฟันที่สวยงามเหมือนเดิม นอกจากนี้ รากฟันเทียม ที่ทำมาจากโลหะไททาเนียมซึ่งมีความคงทนมาก อายุการใช้งานจะอยู่ที่การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของผู้เข้ารับการรักษา รากฟันเทียมจะไม่ผุแต่อาจจะเกิดโรคเหงือกอักเสบได้หากดูแลได้ไม่ดี การดูแลรักษาก็เหมือนการดูแลรักษาฟันธรรมชาติ คือ การแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน และได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ หากทำทุกอย่างได้ดีรากฟันเทียมก็จะอยู่ได้ไปตลอด อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการรักษาควรเข้ารับการตรวจช่องปาก รวมไปถึงรากฟันเทียม ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ตามวันเวลาที่ทันตแพทย์นัดหมาย เพื่อทำการตรวจช่องปาก

หากมีปัญหาเกี่ยวกับรากฟันเทียมที่ทำการฝังลงไป จะได้แก้ไขปัญหาได้ทัน หากใครที่สนใจในเรื่องของการฝังรากฟันเทียม สามารถเข้ามาติดต่อของคำแนะนำจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่คลีนิคเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการทันตกรรม พร้อมทั้งยังมีการบริการเกี่ยวกับทางด้านทันตกรรมอย่างครบวงจร เรียกได้ว่ามาที่เดียว สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ทุกจุด ทุกกรณีเลยทีเดียว รวมไปถึงทางคลีนิคยังมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษา ทำให้คุณไม่ต้องกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายเลย มั่นใจได้เลยว่าการให้บริการของทางเราจะทำให้คุณเกิดความประทับใจอย่างแน่นอน

4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


5
หมอประจำบ้าน: นิ่วกระเพาะปัสสาวะ (Vesical calculus/Bladder stone)

นิ่วกระเพาะปัสสาวะ (นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ก็เรียก) เป็นโรคที่พบได้บ่อยทางภาคอีสานและภาคเหนือ พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบมากในเด็กผู้ชายอายุต่ำกว่า 10 ปีในหมู่ชาวชนบทที่ยากจน ทั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของประชาชนในท้องถิ่นเหล่านี้ (เช่น การป้อนข้าวเหนียวหรือข้าวย้ำแก่ทารกเล็ก ๆ โดยได้รับอาหารโปรตีนจำนวนน้อย)

สาเหตุ

จากการศึกษาของศูนย์วิจัยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่านิ่วกระเพาะปัสสาวะที่พบในภาคอีสานและภาคเหนือ มีสาเหตุจากการขาดสารฟอสเฟต ซึ่งมีมากในอาหารประเภทโปรตีน ร่วมกับการกินผักที่มีสารออกซาเลต (oxalate) สูง และดื่มน้ำน้อย ทำให้มีการสะสมของผลึกของสารแคลเซียมออกซาเลตในกระเพาะปัสสาวะ จนกลายเป็นก้อนนิ่วในที่สุด

นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ในคนทั่วไปยังอาจพบนิ่วกระเพาะปัสสาวะร่วมกับภาวะอุดกั้นของท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน (cystocele) กระเพาะปัสสาวะไม่ทำงานเนื่องจากเป็นอัมพาต (neurogenic bladder) เป็นต้น

ก้อนนิ่วอาจมีขนาดแตกต่างกันไปตั้งแต่ขนาดเท่าเม็ดทรายจนถึงส้มโอ


อาการ

เนื่องจากก้อนนิ่วลงไปอุดกั้นท่อปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกระปรอย ปวดเบ่งคล้ายว่ายังถ่ายไม่สุด ปัสสาวะสะดุดและออกเป็นหยด

บางรายอาจปัสสาวะออกเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ หรืออาจถ่ายเป็นก้อนนิ่ว หรือเม็ดกรวดทรายเล็ก ๆ หรือปัสสาวะขุ่นขาวเหมือนมีผงแป้งปน

ถ้าก้อนนิ่วตกลงไปอุดกั้นท่อปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องน้อยมาก ปัสสาวะไม่ออก และมีปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ


ภาวะแทรกซ้อน

มักทำให้มีอาการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะจากการติดเชื้อ ซึ่งถ้าปล่อยไว้เรื้อรังอาจกลายเป็นกรวยไตอักเสบและไตวายได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายมักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ ยกเว้นบางรายอาจพบปัสสาวะมีลักษณะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์ ตรวจอัลตราซาวนด์ และถ้าจำเป็นอาจต้องใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (cystoscopy)


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. แพทย์จะนำเอานิ่วออก ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้

    การใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ (transurethral cystolitholapaxy) เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ใช้เครื่องมือทำให้นิ่วแตกละเอียดแล้วให้ปัสสาวะชะออกมา
    การใช้เครื่องสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy/ESWL)
    การผ่าตัด สำหรับนิ่วก้อนใหญ่หรือใช้วิธีอื่นไม่ได้ผล

2. ในรายที่มีสาเหตุชัดเจน ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน (cystocele)

ผลการรักษา เมื่อเอานิ่วออกมาได้ก็จะหายเป็นปกติ แต่ในรายที่มีสาเหตุของการเกิดนิ่วแล้วไม่ได้แก้ไข ก็อาจเกิดนิ่วก้อนใหม่ในเวลาต่อมาได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ปัสสาวะสะดุดและออกเป็นหยด ปัสสาวะออกเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ ถ่ายเป็นก้อนนิ่ว หรือเม็ดกรวดทรายเล็ก ๆ หรือปัสสาวะขุ่นขาวเหมือนมีผงแป้งปน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นนิ่วกระเพาะปัสสาวะ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการไข้ ขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกะปรอย หรือปัสสาวะขุ่นหรือเป็นเลือด
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    รับประทานอาหารประเภทโปรตีน (เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ซึ่งมีปริมาณของสารฟอสเฟตสูง
    ลดการกินผักที่มีสารออกซาเลต (เช่น ผักแพว ผักโขม ชะพลู ใบมันสำปะหลัง หน่อไม้ ผักสะเม็ด ผักกะโดน เป็นต้น)
    ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณวันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) ระวังอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ 
    รักษาโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของนิ่วกระเพาะปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน เป็นต้น

ข้อแนะนำ

อาการขัดเบาหรือถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด นอกจากนิ่วแล้วยังอาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากโต เนื้องอกหรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น (ตรวจอาการ "ปัสสาวะลำบาก/ปัสสาวะไม่ออกหรือออกน้อย/ปัสสาวะขัด/ปัสสาวะบ่อย") และ (ตรวจอาการ "ปัสสาวะขุ่น/มีสีผิดปกติ") เพิ่มเติม

6
ตรวจโรค คีลอยด์/แผลปูด (Keloid)

คีลอยด์ (แผลปูด) หมายถึง แผลเป็นที่ปูดโปนมีขนาดใหญ่กว่าแผลเป็นธรรมดา เป็นภาวะที่พบได้บ่อยเฉพาะคนบางคน คนที่เคยเป็นคีลอยด์ เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นก็มักจะกลายเป็นคีลอยด์ได้อีก

สาเหตุ

เกิดจากการงอกผิดปกติของเนื้อเยื่อผิวหนังส่วนที่เป็นแผล อาจเกิดกับบาดแผลได้ทุกชนิด เช่น บาดแผลผ่าตัด บาดแผลที่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถูกแมงกะพรุนไฟ ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย รอยฉีดวัคซีนบีซีจี รอยสิว รอยเจาะหู รอยสัก รอยแผลอีสุกอีใส เป็นต้น เมื่อแผลหายใหม่ ๆ อาจมีลักษณะเป็นปกติธรรมดา แต่ต่อมาอีกหลายสัปดาห์จะค่อย ๆ งอกโตขึ้นจนเป็นแผลปูด บางครั้งคีลอยด์อาจเกิดจากแผลเป็นธรรมดาที่มีอยู่เดิมมานานหลายปี หรือเกิดในบริเวณที่ไม่มีรอยแผลเป็นมาก่อนก็ได้

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังส่วนที่เป็นแผลงอกผิดปกตินั้นยังไม่ทราบแน่ชัด

พบว่าผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นคีลอยด์ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงกว่าปกติ จึงเชื่อว่าโรคนี้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์


อาการ

มีลักษณะเป็นก้อนเนื้องอก แข็งและหยุ่น ๆ คล้ายยาง เป็นรูปไข่แผ่ออกคล้ายก้ามปู มีสีแดงหรือชมพู ผิวมัน อาจมีอาการคัน และกดเจ็บ ก้อนอาจคงที่ หรือค่อย ๆ โตขึ้นก็ได้ มักไม่หายเอง

มักพบเพียงหนึ่งก้อน แต่ก็อาจพบหลายก้อนได้ สามารถพบได้ทุกแห่งของร่างกาย แต่จะพบมากบริเวณหน้าอก หลัง ไหล่ แขนและขา


ภาวะแทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากทำให้รู้สึกไม่สวยงาม


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบเป็นหลัก

หากสงสัยว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ แพทย์จะทำการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ถ้าขึ้นในบริเวณที่มิดชิดหรือไม่มีลักษณะที่น่าเกลียด ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด นอกจากถ้ามีอาการคันให้ทาด้วยครีมสเตียรอยด์ แต่ถ้าก้อนโตน่าเกลียด หรือทำให้ขาดความสวยงาม อาจต้องรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์ เช่น ไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (triamcinolone acetonide) เข้าไปในแผลคีลอยด์ อาจช่วยให้แผลเป็นฝ่อเล็กลงได้บ้าง

ในรายที่มีขนาดใหญ่อาจต้องทำการผ่าตัด แล้วฉีดยาสเตียรอยด์เมื่อแผลเริ่มหายภายใน 1-2 สัปดาห์

นอกจากนี้อาจรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น รังสีบำบัด (ฉายรังสี), การผ่าตัดด้วยความเย็นที่เรียกว่า ไครโอเซอเจอรี (cryosurgery) การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เป็นต้น


การดูแลตนเอง

ถ้าเป็นแผลขนาดเล็ก ไม่มีอาการปวด หรือคัน และไม่โตขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาแต่อย่างใด

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดหรือคัน
    แผลโตขึ้น หรือรู้สึกไม่สวยงาม 
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง


การป้องกัน

ผู้ที่เป็นแผลคีลอยด์ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดบาดแผลโดยไม่จำเป็น เช่น การสัก การเจาะหู การบีบหรือแกะสิว เป็นต้น


ข้อแนะนำ

1. คีลอยด์เป็นเนื้องอกธรรมดา ไม่ใช่มะเร็งหรือเนื้อร้าย และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด

2. คีลอยด์จะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนบางคนเท่านั้น ซึ่งผิวหนังจะมีธรรมชาติแตกต่างไปจากคนปกติ เมื่อมีบาดแผลก็จะทำให้เกิดเป็นแผลปูด ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการกินของแสลง (เช่น เนื้อ ไข่) ดังที่ชาวบ้านเข้าใจกันแต่อย่างใด

3. ห้ามรักษาคีลอยด์ด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวเป็นอันขาด (โดยไม่ฉีดยาสเตียรอยด์ตามใน 1-2 สัปดาห์ต่อมา) เพราะแผลเป็นที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นคีลอยด์ที่ใหญ่ขึ้นไปกว่าเดิมได้อีก

7
เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี สามารถเข้ารับการจัดฟันเด็กได้หรือไม่ ?

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่เด็ก จะทำให้เด็กเติบโตมาเป้นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตามไปด้วย พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่คิดว่า ฟันน้ำนมของลูกไม่มีความสำคัญเพราะจะต้องมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ แต่หารู้ไม่ว่า การที่เด็กมีฟันน้ำนมที่ไม่ดีนั้น ส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ที่จะงอกมาแทนที่ อาจจะส่งผลให้มีลักษณะฟันที่ผิดปกติได้ เพราะถ้าหากฟันน้ำนมเกิดหักหรือหลุดก่อนเวลา อาจจะทำให้ฟันแท้ที่ขึ้นมามีรูปร่างและลักษณะที่ผิดปกติได้ และอาจจะทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของรูปร่างฟันตั้งแต่เด็กๆ

ซึ่งการรักษาและแก้ไขในเรื่องของรูปร่างฟันในเด็กนั้น เด็กสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น เด็กๆในวัยประถมก็สามารถจัดฟันได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หลายปัญหาอาจสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดความรุนแรงได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะมีความสงสัยว่า ถ้าหากเราบุตรหลานของเรามีอายุต่ำกว่า 10 ปี และมีปัญหาในเรื่องของรูปร่างฟัน จะมาสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงประเด็นที่หลายคนอาจจะยังมีข้อสงสัยว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางให้บุตรหลานของท่านได้ทำความเข้าใจถึงกระบวนการรักษาและผลลัพธ์ที่ดีในการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก

การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้หลายกรณี ซึ่งส่วนใหญ่ในวัยเด็กมักจะชื่นชอบรับประทานของหวานหรือลูกอม ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุในวัยเด็ก และเด็กบางคน อาจจะทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันได้ง่าย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กที่ดีที่สุดก็คือ วิธีการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น จริงๆแล้ว เด็กสามารถเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ แต่ถ้าหากทันตแพทย์ประเมินเรื่องความร่วมมือในการรักษาแล้ว เด็กที่มีอายุ 7-8 ขวบจะดีที่สุด เพราะสามารถให้ความร่วมมือในการรักษาได้เป็นอย่างดี ซึ่งการจัดฟันในเด็กอายุที่ต่ำกว่า 10 ขวบนั้น ส่วนใหญ่จะใช้การจัดฟันที่เรียกว่า EF Line ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือที่เป็นเพียงชิ้นยางหลากหลายสี มีหลายขนาดตามอายุและขนาดของขากรรไกรเด็ก

คุณสมบัติของเครื่องมือชิ้นนี้ คือมันจะช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าของเด็กให้มาอยู่ถูกที่ถูกทาง และให้ใบหน้าดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น ยิ่งในเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดนิ้ว ดูดขวดนม แน่นอนว่า อาจจะทำให้เกิดโครงสร้างของฟันที่มีความผิดปกติ ซึ่งการใช้เครื่องมือ EF Line สามารถแก้ไขได้ ทั้งยังช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าให้เข้าที่และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ สำหรับระยะเวลาในการใส่เครื่องมือ ก็จะขึ้นกับปัญหาฟันของเด็กแต่ละคน และความมีวินัยในการใส่เครื่องมือ คือ ต้องสวมใส่ให้ได้จำนวนชั่วโมงมากที่สุด กลางคืนนอนให้ใส่ตลอดเพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อระเบียบวินัยระหว่างการจัดฟัน

หากใครพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สาามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ในวงการทันตกรรมมาอย่างอย่างยาวนาน สามารถปึกษาทันตแพทย์ถึงวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อยได้ ทันตแพทย์ของเรายินดีให้คำปรึกษา พร้อมกับแนะนำแนวทางการปฏิบัติตัวหากลูกน้อยของคุณเข้ารับการจัดฟันที่คลินิกเพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีฟันที่สวยงามตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามไปด้วย

8
ของขวัญอะไรที่ไม่ควรซื้อให้เพื่อน

การเลือกของขวัญให้เพื่อนเป็นเรื่องสนุก แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ของขวัญกลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจ โดยเฉพาะกับของขวัญบางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยง ดังนี้ค่ะ

1. ของใช้ส่วนตัวเกินไป
ของขวัญบางชิ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่เพื่อนแต่ละคนมีรสนิยมแตกต่างกันไป เช่น เสื้อผ้าหรือรองเท้า (หากไม่ทราบไซส์ที่แน่นอน), น้ำหอม (กลิ่นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล) หรือเครื่องสำอาง (อาจจะแพ้หรือไม่เหมาะกับผิว) ของขวัญเหล่านี้อาจจะทำให้ผู้รับรู้สึกอึดอัดใจหากไม่ถูกใจ

2. ของขวัญที่ตั้งใจให้เป็นเรื่องตลก
แม้คุณจะสนิทกันมากแค่ไหน การเลือกของขวัญที่ตั้งใจให้เป็นเรื่องตลกหรือของเล่นประเภท Gadget ที่ดูตลกมากๆ ก็อาจจะทำให้เพื่อนรู้สึกไม่ดีได้ โดยเฉพาะหากมีการแกะของขวัญต่อหน้าคนอื่น

3. ของขวัญที่บ่งบอกว่าเพื่อนมีข้อบกพร่อง
ของขวัญที่อาจจะสื่อความหมายไปในทางที่ไม่ดี เช่น อุปกรณ์ควบคุมน้ำหนัก หรือผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เพราะอาจทำให้เพื่อนรู้สึกว่าคุณกำลังตำหนิเขาทางอ้อม

4. ของขวัญที่ดูเหมือนใช้แล้ว
ของขวัญที่ดูเก่าหรือเป็นของที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ (re-gift) หากเพื่อนจับได้อาจทำให้เขารู้สึกไม่ดีและรู้สึกว่าคุณไม่ให้ความสำคัญกับเขา

5. สัตว์เลี้ยง
สัตว์เลี้ยงเป็นของขวัญที่ไม่ควรให้เด็ดขาด เพราะการเลี้ยงดูสัตว์เป็นภาระที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูงและต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้รับเอง

9
อาหารจานเดียวสามารถสร้างอาชีพเสริมได้หลากหลายรูปแบบ โอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม

อาหารจานเดียวสามารถสร้างอาชีพเสริมได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัด ความชอบและกลุ่มเป้าหมายของคุณ อาหารจานเดียวจึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้คนจำนวนมากที่มองหาอาหารที่รวดเร็ว อร่อยและราคาไม่แพง ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อครัวแม่ครัวที่บ้านหรือเป็นผู้ประกอบการมือใหม่ การขายอาหารจานเดียวอาจเป็นธุรกิจเสริมที่ยอดเยี่ยมด้วยการลงทุนเพียงเล็กน้อยและมีความต้องการสูง

ทำไมต้องอาหารจานเดียว?
อาหารจานเดียวสะดวก เตรียมง่าย และให้ผลกำไรสูง อาหารจานเดียวต้องการส่วนผสมน้อยกว่าและใช้เวลาเตรียมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับอาหารจานหลัก จึงเหมาะสำหรับบุคคลที่ยุ่งวุ่นวาย นอกจากนี้ อาหารจานเดียวยังรองรับลูกค้าหลากหลาย ตั้งแต่พนักงานออฟฟิศ นักศึกษา และครอบครัว

อาหารตามสั่งยอดนิยม:
กะเพรา: เมนูยอดฮิตที่ใครๆ ก็ชอบ สามารถปรับเปลี่ยนวัตถุดิบได้หลากหลาย
ข้าวผัด: ทำง่าย รวดเร็ว และปรับรสชาติได้ตามใจลูกค้า
ราดหน้า/ผัดซีอิ๊ว: เมนูเส้นที่ขายดี เหมาะสำหรับคนที่ชอบอาหารเส้น
ข้าวหมูทอดกระเทียม: เมนูที่ทำง่ายและเป็นที่นิยม
เมนูไข่: เช่น ไข่เจียว ไข่ดาว หรือไข่ข้น ทำง่าย ต้นทุนต่ำ

อาหารจานเดียวยอดนิยมที่ขาย
ข้าวผัด (หลากสไตล์)

ตัวเลือกแบบคลาสสิกเช่น ข้าวผัดกุ้ง ข้าวผัดไก่ หรือข้าวผัดกะเพรา
ทำง่าย ปรับแต่งได้ และใช้ส่วนผสมที่ไม่ซับซ้อน


เมนูเส้นก๋วยเตี๋ยว

ตัวเลือกได้แก่ ผัดไทย ผัดหมี่ หรือก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน เตรียมได้ง่ายเมื่อรับประทานเป็นจำนวนมาก และเหมาะสำหรับนำกลับบ้าน

ข้าวราดหน้า

ตัวอย่าง: ข้าวผัดกะเพราหมู, ข้าวไก่ย่าง, ข้าวแกงกะหรี่
มีหลากหลายและสามารถปรับให้เข้ากับรสนิยมที่แตกต่างกันได้
พาสต้าและอาหารตะวันตก

สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า อากลิโอ เอ โอลิโอ หรือพาสต้าครีมเห็ด
ดึงดูดลูกค้าที่มองหาอาหารรสชาติแบบผสมผสานหรือนานาชาติ

ชามอาหารเพื่อสุขภาพ
ชามสลัด ชามควินัว หรือชามโปเก
ความต้องการอาหารที่มีสุขภาพดี มีคุณค่าทางโภชนาการ และทันสมัยเพิ่มมากขึ้น

วิธีเริ่มต้นธุรกิจอาหารจานเดียวของคุณ

เลือกช่องของคุณ
ตัดสินใจเลือกประเภทมื้ออาหารให้เหมาะกับทักษะและความต้องการของตลาดของคุณ
พิจารณาถึงความชอบในท้องถิ่น แนวโน้มด้านโภชนาการ และกลยุทธ์ด้านราคา

ค้นหาสถานที่ที่เหมาะสม

ช่องทางการขาย:
ขายออนไลน์: ผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ หรือโซเชียลมีเดีย
ขายตามตลาดนัด/ตลาดสด: เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง
ขายที่บ้าน/คอนโด: ทำเป็นครัวเล็กๆ แล้วขายให้เพื่อนบ้านหรือคนในละแวก


รับทำข้าวกล่อง: เหมาะสำหรับพนักงานออฟฟิศ หรือจัดเลี้ยง

เริ่มต้นจากที่บ้าน ตั้งแผงขายอาหารหรือร่วมมือกับร้านกาแฟในท้องถิ่น
แพลตฟอร์มการจัดส่งอาหารออนไลน์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน


แหล่งที่มาของวัตถุดิบคุณภาพ

ใช้วัตถุดิบสดและราคาไม่แพงเพื่อให้มั่นใจถึงรสชาติดีและคุ้มทุน
ซื้อจำนวนมากจากซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้เพื่อลดต้นทุน


สร้างเมนูที่สะดุดตา

ให้มีความเรียบง่ายแต่มีความหลากหลายเพียงพอที่จะดึงดูดลูกค้าที่แตกต่างกัน
เสนอเมนูเด่นๆ สักสองสามเมนูเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ของคุณ


ทำการตลาดธุรกิจของคุณ

ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมตอาหารของคุณด้วยภาพคุณภาพสูงและความคิดเห็นจากลูกค้า
เสนอโปรโมชั่นหรือโปรแกรมความภักดีเพื่อดึงดูดลูกค้าประจำ

การขายอาหารจานเดียวเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการสร้างรายได้พิเศษด้วยต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำ ด้วยการวางแผนที่ดี วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และการตลาดที่มีประสิทธิภาพ คุณสามารถเปลี่ยนความรักในการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นธุรกิจเสริมที่ประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าคุณจะขายจากที่บ้าน แผงขายอาหาร หรือออนไลน์ อาหารที่อร่อยและสะดวกสบายจะเป็นที่ต้องการเสมอ


10
หมอออนไลน์: ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง ซึ่งพบได้ในทุกกลุ่มอายุ พบมากสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี รองลงมา 15-24 ปี และ 0-4 ปีตามลำดับ

โรคนี้พบได้ตลอดทั้งปี และทั่วทุกภาค โดยจำนวนผู้ป่วยเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตอนต้นเดือนพฤษภาคม จนมีจำนวนสูงสุดในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน แล้วเริ่มมีแนวโน้มลดลงตอนปลายเดือนตุลาคม โรคนี้มีแนวโน้มเกิดการระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี (dengue virus) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ ได้แก่ 1, 2, 3 และ 4

โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อไวรัสเด็งกีเข้าไปครั้งแรก (สามารถติดเชื้อตั้งแต่อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป) โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 3-15 วัน (ส่วนมาก 5-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่อยู่ 5-7 วัน และส่วนมากจะไม่มีอาการเลือดออก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีเลือดออก หรือมีอาการรุนแรง เรียกว่า ไข้เด็งกี (dengue fever/DF)*

ต่อมาเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก (ซึ่งอาจเป็นเชื้อเด็งกีชนิดเดียวกัน หรือคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรกก็ได้ และมีระยะฟักตัวสั้นกว่าครั้งแรก) ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะ และเกล็ดเลือดต่ำ จึงทำให้พลาสมา (น้ำเลือด) ไหลซึมออกจากหลอดเลือด (ตรวจพบระดับฮีมาโตคริตสูง มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง) และมีเลือดออกง่าย เป็นเหตุให้เกิดภาวะช็อก

โดยทั่วไปการติดเชื้อครั้งหลัง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มักจะเกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อครั้งแรกประมาณ 6 เดือนถึง 5 ปี มักจะทิ้งช่วงไม่เกิน 5 ปี ด้วยเหตุนี้ไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง จึงมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีมากกว่าในวัยอื่น

โรคนี้มียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค กล่าวคือ ยุงลายจะกัดคนที่เป็นไข้เลือดออกก่อน แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง (ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร) ก็จะแพร่เชื้อให้คนอื่น ๆ ต่อไป ยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋อง หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น เป็นยุงที่ออกหากิน (กัดคน) ทั้งในกลางวันและกลางคืน

ยุงลาย

* ไข้เด็งกี (dengue fever) เกิดจากการติดเชื้อเด็งกีครั้งแรกในชีวิต ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จัดว่าเป็นโรคที่ไม่รุนแรง ซึ่งมักหายได้เองเป็นส่วนใหญ่แม้จะไม่ได้ใช้ยา หรือเพียงให้ยาบรรเทาตามอาการ เนื่องเพราะเป็นการติดเชื้อไวรัสซึ่งไม่มียารักษาจำเพาะ

อาการที่พบได้ก็คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยมักไม่มีอาการเป็นหวัดเจ็บคอแบบไข้หวัด ผู้ป่วยอาจมีผื่นแดงเล็กคล้ายหัดขึ้นตามตัว (ซึ่งบางรายอาจมีอาการคัน) บางรายอาจมีจุดแดง (จุดเลือดออก) ตามผิวหนัง

บางรายเมื่อทำการทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก การตรวจเลือดพบว่าเม็ดเลือดขาวต่ำ และบางรายอาจพบเกล็ดเลือดต่ำ

โรคนี้มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยที่ผู้ป่วยอาจรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือหากไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะวินิจฉัยจากอาการ (โดยไม่ได้ทำการทดสอบทูร์นิเคต์ และไม่ได้ตรวจเลือด) ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ (เช่น ไข้ปวดข้อยุงลาย ไข้ซิกา) เพียงให้การรักษาตามอาการและติดตามสังเกตอาการ ซึ่งมักจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นไข้เด็งกี

ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อเด็งกีครั้งแรก จึงมักจะไม่รู้ว่าตัวเองเคยติดเชื้อเด็งกี หากในเวลาต่อมาเกิดการติดเชื้อเด็งกีซ้ำ ก็จะกลายเป็นไข้เลือดออกได้


อาการ

อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ซึ่งมักมีลักษณะไข้สูงลอยตลอดเวลา หรือกินยาลดไข้ก็มักจะไม่ทุเลา

มักมีอาการหน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย นอนซม เบื่ออาหาร 

บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา หรือปวดท้องทั่วไป ท้องผูกหรือถ่ายเหลว 

ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดหรือออกหัด แต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงเล็กน้อย หรือไอบ้างเล็กน้อย

ในราววันที่ 3 ของไข้ อาจมีผื่นแดงขึ้นตามแขนขาและลำตัว ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 วัน บางรายอาจมีจุดเลือดออก มีลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ (บางครั้งอาจมีจ้ำเขียวด้วยก็ได้) ขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก (เพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่)

ในระยะนี้อาจคลำพบตับโต และมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย

การทดสอบทูร์นิเคต์* ส่วนใหญ่จะให้ผลบวกตั้งแต่วันที่ 2 ของไข้ และในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว มักจะพบมีจุดเลือดออกมากกว่า 10-20 จุดเสมอ

ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรง ส่วนมากไข้ก็จะลดลงในวันที่ 5-7 บางราย อาจมีไข้เกิน 7 วันได้

แต่ถ้าเป็นมาก ก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4

อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของโรค

อาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) และความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว ชีพจรคลำไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที ก็อาจตายได้ภายใน 1-2 วัน

นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีน้ำมันดิบ ๆ ถ้าเลือดออกมักทำให้เกิดภาวะช็อกรุนแรง และผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

ระยะที่ 2 นี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านช่วงวิกฤติไปแล้วก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็จะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ อาการที่ส่อว่าดีขึ้นก็คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากกินอาหาร แล้วอาการต่าง ๆ จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลา 7-10 วัน หลังผ่านระยะที่ 2

รวมเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นไข้จนแข็งแรงดีประมาณ 7-14 วัน ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย อาจเป็นอยู่ 3-4 วันก็หายได้เอง ส่วนอาการไข้ (ตัวร้อน) อาจเป็นอยู่ 2-7 วัน บางรายอาจนาน 10 วันก็ได้


ความรุนแรงของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 4 ขั้น ได้แก่

ขั้นที่ 1 (เกรด 1) มีไข้และมีอาการแสดงทั่ว ๆ ไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาการแสดงของการมีเลือดออกมีเพียงอย่างเดียว คือ มีจุดแดง ๆ ตามผิวหนังโดยไม่มีอาการเลือดออกอย่างอื่น ๆ และการทดสอบทูร์นิเคต์ให้ผลบวก

ขั้นที่ 2 (เกรด 2) มีอาการเพิ่มจากขั้นที่ 1 คือ มีเลือดออกเอง อาจออกเป็นจ้ำเลือดที่ใต้ผิวหนัง หรือเลือดออกจากที่อื่น ๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แต่ยังไม่มีภาวะช็อก ชีพจรและความดันโลหิตยังปกติ

ขั้นที่ 3 (เกรด 3) มีอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำ หรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า แรงชีพจร** (pulse pressure) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท (เช่น ความดันช่วงบน 80 ช่วงล่าง 60)

ขั้นที่ 4 (เกรด 4) มีภาวะช็อกอย่างรุนแรง ชีพจรเบาและเร็วจนจับไม่ได้ ความดันตกจนวัดไม่ได้ และ/หรือมีเลือดออกมาก เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือดมาก

ไข้เลือดออกที่มีความรุนแรง ถึงขั้นที่ 3 และ 4 พบได้ประมาณร้อยละ 20-30 ที่เหลืออีกร้อยละ 70-80 จะแสดงอาการในขั้นที่ 1 และ 2

การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยตามขั้นต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนจากขั้นที่ 2 มาขั้น 3 และ 4 ควรจับชีพจร วัดความดันโลหิต และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจหาความเข้มข้นของเลือดโดยการเจาะเลือดตรวจฮีมาโทคริต และตรวจนับคำนวณเกล็ดเลือดเป็นระยะ

*การทดสอบทูร์นิเคต์ (tourniquet test) โดยใช้เครื่องวัดความดันรัดเหนือข้อศอกของผู้ป่วยด้วยค่าความดันกึ่งกลางระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างของคนคนนั้น (ความดันช่วงบนบวกความดันช่วงล่างหารสอง) เป็นเวลานาน 5 นาที
ถ้าไม่มีเครื่องวัดความดัน ให้ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย (ยังพอคลำชีพจรที่ข้อมือได้) นาน 5 นาที
ถ้าพบมีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนใต้ตำแหน่งที่รัดเป็นจำนวนมากกว่า 10 จุดในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว (เท่ากับเหรียญบาทโดยประมาณ) แสดงว่าการทดสอบได้ผลบวก ถ้าน้อยกว่า 10 จุดก็ถือว่าได้ผลลบ
ในผู้ป่วยไข้เลือดออก การทดสอบนี้จะได้ผลบวกได้มากกว่าร้อยละ 80 ตั้งแต่เริ่มมีไข้ได้ 2 วันเป็นต้นไป ใน 1-2 วันแรกอาจให้ผลลบ
คนที่เป็นโรคเลือดที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เช่น ไอทีพี โลหิตจางอะพลาสติก หรือคนที่เป็นไข้หวัด หรือไข้อื่น ๆ ก็อาจให้ผลบวกได้เช่นกัน
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก การทดสอบนี้อาจให้ผลลบได้
 

การทดสอบทูร์นิเคต์

**แรงชีพจร (ความดันชีพจร) ในคนปกติจะอยู่ระหว่าง 30-50 มม.ปรอท ถ้าน้อยกว่า 30 เรียกว่า "แรงชีพจรแคบ" เช่น 120/100, 90/70, 80/70 เป็นต้น ถ้ามากกว่า 50 เรียกว่า "แรงชีพจรกว้าง" เช่น 160/90, 150/70 เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ที่ร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตได้ ได้แก่ ภาวะเลือดออกรุนแรง (ถ้ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารจำนวนมาก หรือมีเลือดออกในสมอง มักมีอัตราตายสูง) ภาวะช็อก และภาวะอวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอยู่นาน

นอกจากนี้ อาจเป็นปอดอักเสบ (อาจมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) สมองอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

ผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกเสียชีวิตในครรภ์ คลอดก่อนกำหนด  หรือทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย

ในกรณีที่ผู้ป่วยไข้เลือดออกได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำมากไป อาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เป็นอันตรายได้ ดังนั้นเวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ควรตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ ไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส ซึ่งมักจะเป็นอยู่ตลอดเวลา) หน้าแดง เปลือกตาแดง นอนซม

อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดงหรือจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว การทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก (อาจให้ผลลบในวันแรก ๆ ของไข้)

ในรายที่เป็นรุนแรง (มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ4) จะตรวจพบภาวะช็อก (มีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำหรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างน้อยกว่า 30 มม.ปรอท) บางรายอาจตรวจพบอาการเลือดออก (เช่น เลือดกำเดาไหลอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด)

ในรายที่ยังวินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกายไม่ได้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเลือด พบเม็ดเลือดขาวมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 5,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร), เกล็ดเลือดมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 150,000 ตัวต่อเลือด 1ลูกบาศก์มิลลิเมตร), ฮีมาโทคริต (ซึ่งวัดระดับความเข้มของเลือด) สูงกว่าปกติ เนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลง

ในการวินิจฉัยโรคนี้ให้ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในเลือด (ด้วยวิธี NS1 หรือ PCR ซึ่งจะให้ผลที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการไข้ 1-3 วัน) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไข้ตั้งแต่ 4 วันขึ้นไป แพทย์อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง เพื่อดูสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้เลือดออกโดยวิธี ELISA (สามารถทราบผลจากการตรวจเพียงครั้งเดียว) หรือวิธี hemagglutination inhibition (HI ซึ่งต้องตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน 2 สัปดาห์)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าอาการไม่รุนแรง (มีอาการในขั้นที่ 1) คือเพียงแต่มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร โดยยังไม่มีอาการเลือดออกหรือมีภาวะช็อก จะให้การรักษาตามอาการ ดังนี้

    ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมาก ๆ
    หากมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ และให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล คำนวณขนาดตามน้ำหนักตัวหรือตามอายุ ให้ได้ไม่เกิน 4 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ห้ามให้แอสไพริน เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น หรืออาจทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรมได้ และห้ามให้ยาลดไข้กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ให้ยาลดไข้ บางครั้งไข้ก็อาจจะไม่ลดก็ได้ ระวังอย่าให้พาราเซตามอลถี่กว่ากำหนด อาจมีพิษต่อตับได้
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน) หรือสารละลายน้ำตาล เกลือแร่
    เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด อาจต้องนัดผู้ป่วยมาตรวจดูอาการทุกวัน ตรวจจับชีพจร วัดความดัน และตรวจดูอาการเลือดออก รวมทั้งทดสอบทูร์นิเคต์ ถ้าวันแรก ๆ ให้ผลลบ ก็จะทำซ้ำในวันต่อ ๆ มา

2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก มีภาวะขาดน้ำ ช็อก หรือเลือดออก (มีอาการในขั้นที่ 2-4) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการเจาะเลือดตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต (ดูความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ ๆ ถ้าเลือดข้นมากไป เช่น ฮีมาโทคริตมีค่ามากกว่า 50% ขึ้นไป ก็แสดงว่าปริมาตรของเลือดลดน้อย) นับจำนวนเม็ดเลือดขาว และจำนวนเกล็ดเลือด (พบว่าต่ำกว่าปกติทั้งคู่ เกล็ดเลือดจะเริ่มต่ำประมาณวันที่ 3-4 ของไข้ โรคยิ่งรุนแรงเกล็ดเลือดจะยิ่งต่ำมาก)

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจอื่น ๆ เช่น อิเล็กโทรไลต์ในเลือด ตรวจการทำงานของตับ (มักพบ AST และ ALT สูง) ตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด (congulation study) ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด เป็นต้น

แพทย์จะทำการรักษา โดยให้น้ำเกลือรักษาภาวะช็อกหรือภาวะขาดน้ำ ถ้าจำเป็นอาจให้พลาสมาหรือสารแทนพลาสมา (เช่น แอลบูมินหรือเดกซ์แทรน) ให้เลือดถ้ามีเลือดออก และรักษาภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้เป็นปกติภายใน 1-2  สัปดาห์ ส่วนน้อยมากที่อาจเสียชีวิต (เฉลี่ยในผู้ป่วย 1,000 คน มีการเสียชีวิตประมาณ 1 คน) จากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เลือดออกรุนแรง มีภาวะช็อก อวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เป็นต้น ผู้ที่เสียชีวิตมักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัว (เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเลือด โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น) อายุต่ำกว่า 1 ปี กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เข้ารับการรักษาช้า หรือปล่อยให้มีอาการรุนแรงค่อยมาพบแพทย์

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงหรือมีไข้ตลอดเวลาร่วมกับอาการเบื่ออาหาร นอนซม หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้เลือดออก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้เลือดออก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาลดไข้-พาราเซตามอลตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร แม้ว่ากินยาแล้วไข้ไม่ยอมลดก็ห้ามกินถี่กว่าที่แนะนำ เพราะการใช้ยานี้มากเกินอาจมีพิษต่อตับได้
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาลดไข้-แอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน (ควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีสีแดง เพราะหากอาเจียนอาจทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นการอาเจียนออกเป็นเลือดหรือเป็นน้ำที่ดื่ม)
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน และหลีกเลี่ยงน้ำที่ออกสีเข้ม) หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการหนาวสั่นมาก
    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก กระสับกระส่าย หรือซึมมาก
    หายใจหอบ
    ปวดท้องตรงยอดอกหรือลิ้นปี่
    ซีด ตาเหลืองตัวเหลือง เบื่ออาหารมาก หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มือเท้าเย็นชืด มีเหงื่อออกและท่าทางไม่สบายมาก
    มีจุดแดงจ้ำเลือดขึ้นตามตัว
    มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เช่น

    ปิดฝาโอ่งน้ำหรือภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงเล็ดลอดเข้าไปวางไข่ได้ ด้วยฝาอะลูมิเนียม ผ้า ตาข่ายไนล่อน หรือวัสดุอื่น
    เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 7 วัน สำหรับแจกันพลูด่างต้องใช้น้ำชะล้างไข่หรือลูกน้ำที่เกาะติดตามรากพลูด่างและข้างในแจกัน
    เปลี่ยนน้ำในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำเดือดลงไปในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำส้มสายชู ผงซักฟอก หรือเกลือแกงในน้ำที่อยู่ในจานรองตู้ (ใช้เกลือขนาด 2 ช้อนชา/น้ำ 1 แก้ว)
    จานรองกระถางต้นไม้ ควรใส่ทรายธรรมดาให้ลึก 3 ใน 4 ส่วนของจานขนาดใหญ่ หรือเทน้ำที่ขังอยู่ในจานขนาดเล็กทิ้งทุก 7 วัน
    ควรเก็บกระป๋อง ฝาขวด (ฝาเบียร์) กะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หรือสิ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้าน โรงเรียน และแหล่งชุมชน ทำลายหรือฝังดินให้หมด
    ยางรถยนต์เก่าถ้าไม่โยนทิ้งควรหาทางปกคลุม หรือเจาะรูระบายไม่ให้น้ำขัง หรือนำมาทำเป็นที่ปลูกต้นไม้หรือพืชผักสวนครัว เครื่องใช้ (เช่น ที่ทิ้งขยะ เก้าอี้) แต่จะต้องดัดแปลงยางรถยนต์ให้ขังน้ำไม่ได้
    ปรับพื้นบ้านและสนามอย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อที่มีน้ำขังได้
    กำจัดลูกน้ำยุงลายด้วยการใส่ทรายอะเบต (abate)* ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำทุกชนิด
    เลี้ยงปลาหางนกยูงไว้กินลูกน้ำในภาชนะที่ใส่น้ำสำหรับใช้ (ไม่ใช่น้ำสำหรับบริโภค) ในอ่างบัว หรืออ่างปลูกต้นไม้น้ำ โดยใส่ปลาหางนกยูง 2-10 ตัวต่อภาชนะ ควรใส่เฉพาะปลาตัวผู้เพื่อคุมปริมาณปลาหางนกยูง

2. หาวิธีป้องกันอย่าให้ยุงลายกัด ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เช่น ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเวลาออกนอกบ้าน, อยู่ในห้องที่มีมุ้งลวด หรือให้เด็กเล็กนอนกางมุ้ง, ใช้ยาทากันยุงทาตามตัวเวลาอยู่ในที่ที่มียุง เป็นต้น

3. ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันโรคไข้เลือดออก มีการรายงานว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนจนครบจำนวน 3 เข็ม (ซึ่งแต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน) สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้เป็นระยะเวลา 5-6 ปี โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้จากเชื้อเด็งกีทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ราวร้อยละ 65 และลดความรุนแรงของโรคได้ราวร้อยละ 93 ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดให้เฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อน

สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อนแพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากเมื่อฉีดไปแล้ว หากมีการติดเชื้อเด็งกี มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรง และการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

เนื่องจากวัคซีนไข้เลือดออกยังมีราคาแพง และมีข้อระมัดระวังในการใช้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตัดสินใจในการฉีดวัคซีนชนิดนี้

*ใส่ทรายอะเบต (abate) ชนิด 1% ในอัตราส่วน 10 กรัม/น้ำ 100 ลิตร (ตุ่มมังกรขนาด 8 ปีบ ใช้อะเบต 2 ช้อนชา ตุ่มซีเมนต์ขนาด 12 ปีบ ใช้อะเบต 2.5 ช้อนชา) ควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน น้ำที่ใส่ทรายอะเบตสามารถใช้ดื่มกินได้อย่างปลอดภัย


ข้อแนะนำ

1. ไข้เลือดออกมักแยกออกจากไข้หวัดได้ โดยที่ไข้เลือดออกมักไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล อาจมีไข้สูงหน้าแดง ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นคล้ายหัด แต่แยกออกจากหัดได้ โดยหัดจะมีน้ำมูกและไอมากและตรวจพบจุดค๊อปลิก

นอกจากนี้อาการไข้สูงโดยไม่มีน้ำมูก ยังอาจทำให้ดูคล้ายไข้ผื่นกุหลาบในทารก ไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ มาลาเรีย ตับอักเสบจากไวรัสระยะแรก เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น (ตรวจอาการไข้)

ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจมาด้วยอาการไข้สูงร่วมกับชักก็ได้

ดังนั้นในช่วงฤดูฝนหรือในช่วงที่มีการระบาดของไข้เลือดออก ถ้าพบผู้ที่มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไม่ว่าเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ควรทำการทดสอบทูร์นิเคต์ หรือตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ไข้เลือดออกทุกราย

2. ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ

ประมาณร้อยละ 70-80 ของผู้ที่เป็นไข้เลือดออก จะมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เองภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะช็อกก็เพียงพอ ไม่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ไม่ต้องฉีดยาให้น้ำเกลือ หรือให้ยาพิเศษแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์

ประมาณร้อยละ 20-30 ที่อาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออก ซึ่งก็มีทางรักษาให้หายได้ด้วยการให้น้ำเกลือหรือให้เลือด มีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นอาจรุนแรงมากจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจมีอัตราตายสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ

3. ระยะวิกฤติของโรคนี้คือวันที่ 3-7 ของไข้ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออกได้ ดังนั้นจึงควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าพ้นระยะนี้ไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย

4. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกในระยะแรก ถ้ามีอาการปวดท้อง อาเจียนมาก หรือเบื่ออาหาร (ดื่มน้ำได้น้อย) อาจมีภาวะช็อกตามมาได้ ดังนั้นถ้าพบอาการเหล่านี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรพยายามให้ดื่มน้ำให้มาก ๆ ถ้าดื่มไม่ได้ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

5. เนื่องจากเชื้อไข้เลือดออกมีอยู่หลายชนิด ดังนั้นคนเราจึงอาจติดเชื้อไข้เลือดออกได้หลายครั้ง แต่ส่วนมากจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แล้วหายได้เอง ส่วนน้อยที่อาจเป็นรุนแรงถึงช็อก และแต่ละคนจะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเพียงครั้งเดียว (หรืออย่างมากไม่ควรเกิน 2 ครั้งในชั่วชีวิต) ที่จะเป็นรุนแรงซ้ำ ๆ กันหลายครั้งนั้นนับว่ามีน้อยมาก

6. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออก สามารถให้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ แต่ควรแยกแยะอาการตัวเย็นจากยาลดไข้ให้ออกจากภาวะช็อก กล่าวคือ ถ้าตัวเย็นเนื่องจากยาลดไข้ ผู้ป่วยจะดูสบายดีและหน้าตาแจ่มใส แต่ถ้าตัวเย็นจากภาวะช็อก ผู้ป่วยจะซึมหรือกระสับกระส่าย

อย่างไรก็ตาม ควรย้ำให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่าการใช้ยาลดไข้อาจไม่ทำให้ไข้ลด ถ้าไข้ไม่ลดก็ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น อย่าให้พาราเซตามอลเกินขนาดที่กำหนด ถ้าให้มากไปหรือถี่เกินไป อาจมีพิษต่อตับถึงขั้นอันตรายได้ และอย่าหันไปใช้ยาลดไข้ชนิดอื่น เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยี่ห้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ประกอบด้วยยาพาราเซตามอลล้วน ๆ (โดยอ่านดูฉลากยาให้แน่ใจ) เพราะยาแก้ไข้อื่น ๆ อาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยไข้เลือดออกได้

7. ในรายที่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ควรให้ด้วยความระมัดระวัง อย่าให้น้อยไปหรือมากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะวิกฤติประมาณ 24-48 ชั่วโมง จำเป็นต้องตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต อย่างใกล้ชิด และปรับปริมาณและความเร็วของน้ำเกลือที่ให้ตามความรุนแรงของผู้ป่วย ต้องระวังการให้น้ำเกลือมากหรือเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ เป็นอันตรายได้

11
รถรับจ้างราคาถูก รถรับจ้างย้ายบ้านสมุทรปราการ บริการขนย้ายรถ ทุกชนิด ราคาเบาๆ กระเป๋า

รถรับจ้างขนย้ายบ้านสมุทรปราการ บริการรถรับจ้างทั่วไป ในเขตสมุทรปราการ ด้วยบริการ รถกระบะรับจ้างขนของย้ายบ้านสมุทรปราการ รถหกล้อรับจ้างขนย้ายบ้านสมุทรปราการ รถ10ล้อรับจ้างขนย้ายบ้านสมุทรปราการ รถเฮียบรับจ้างสมุทรปราการ รถเครนรับจ้างสมุทรปราการ รถบรรทุกรับจ้างสมุทรปราการ รถรับจ้างสมุทรปราการ รถรับจ้างขนของจังหวัดสมุทรปราการ เป้นต้น ซึ่งงานหลักๆที่เราให้บริการในขณะนี้ จะเป็นงาน รับจ้างย้ายบ้าน ขนย้ายวัสดุก่อสร้าง

รับจ้างขนของทั่วไป ขนย้ายสินค้าการเกษตร ย้ายหอ ย้ายออฟฟิค ขนย้ายคอนโด เรียกได้ว่า เรามีรถทุกประเภทที่มีความเหมาะสมในการขนย้ายของๆแต่ละงานอย่างพร้อมเพียง มาที่เดียวท่านได้ครบทุกอย่าง เพราะเราบริหารงานด้วยทีมงานที่มีคุณภาพโดยแท้ และเป็นสุดยอดงานบริการ รถรับจ้างขนของเขตสมุทรปราการ โดยแท้
ด้านบริการ คนยกสินค้า

กรณีนี้เกิดขึ้นกับลูกค้าเราเกือบทุกรายที่บางที มีคนขนของ มีเพื่อนมาช่วยขน แต่พอถึงเวลา เพื่อนมาไม่กี่คน หรือ ขนยกเองทำของตัวเองแตกบ้าง ล้มบ้าง ขอบอกเลยว่า ร
ถรับจ้างขนของจังหวัดสมุทรปราการ ของเรา มีช่างและคนผู้ชำนาญงานไว้คอยบริการท่านอยู่แล้ว โดยที่ท่านไม่ต้องเหนื่อยหรือกังวลที่จะยกของทั่งขึ้นและลง ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และถ้าข้าวของเสียหายจากการยก ทางทีมงานเราก็รับผิดชอบของที่เสียหายให้ได้อยู่แล้ว แล้วเราจะไปเสี่ยงทำไม


และเหนื่อยทำไม ถูกมั้ยครับ รถรับจ้างย้ายบ้านสมุทรปราการ  ราคางานบริการเราก็คิดไม่แพง ต่อรองได้อีก บอกได้เลยว่า ทีมงาน รถรับจ้างขนย้ายบ้านสมุทรปราการ หรือทีมงาน รับจ้างขนของ ทั่วไปของเรามีคุณภาพมากๆ ท่านจะไม่ผิดหวัง

จุดพื้นที่ให้บริการ รถรับจ้างขนย้ายบ้านสมุทรปราการ ได้แก่

    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ เมืองสมุทรปราการ
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ บางบ่อ
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ พระประแดง
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ บางพลี
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอบางเสาธง
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ พระสมุทรเจดีย์
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ สุขุมวิท
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ บางพลีใหม่
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ บางนา-ตราด
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ สำโรง
    รถรับจ้างขนย้ายบ้านอำเภอ บางปู   

12
มาเรียนรู้กับ รถรับจ้างขนของตรัง "รถรับจ้างราคาถูก ทำอะไรได้บ้าง?"

บริการรถรับจ้างขนสินค้าและวัสดุก่อสร้าง

บริการรถรับจ้างขนสินค้าและวัสดุก่อสร้างมักมีลักษณะเด่นต่อไปนี้

        ขนสินค้าหรือวัสดุเป็นปริมาณมาก : บริการนี้เหมาะสำหรับการขนสินค้าหรือวัสดุก่อสร้างในปริมาณมากที่ไม่สามารถขนส่งด้วยรถส่วนตัวหรือรถโดยสารได้
        ความหลากหลายในขนสินค้า : รถรับจ้างขนของตรัง รถรับจ้างขนสินค้าและวัสดุก่อสร้างสามารถขนสินค้าหลากหลายชนิด เช่น วัสดุก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ เครื่องจักร วัสดุบรรจุแพ็คเก็จ สินค้าที่ต้องการความรวดเร็วในการจัดส่ง หรือวัสดุที่ต้องการการจัดการเฉพาะเช่น บริการขนสินค้าแช่แข็งหรือแช่แข็ง
        ความปลอดภัยและความรวดเร็ว : ขนส่ง บริการนี้มักมีความเชี่ยวชาญในการขนสินค้าและวัสดุก่อสร้างอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว เพื่อให้สินค้าถึงที่ปลายทางทันเวลาและในสภาพที่ดี
        การจัดส่งที่ครบวงจร : บริการนี้มักรวมถึงการจัดส่งที่ครบวงจร ซึ่งรวมถึงการรับสินค้าที่จะขนส่ง การเตรียมสินค้า การขนส่ง การรับสินค้าที่สถานที่ปลายทาง และการจัดส่งลงที่
        การให้บริการที่กำหนดเวลา : บริการรถรับจ้างขนสินค้าและวัสดุก่อสร้างมักมีการสนับสนุนเวลาในการจัดส่ง เช่น การจัดส่งตามกำหนดหรือการจัดส่งด่วน
        การปรับแต่งรถและการบริการ : บริการนี้สามารถปรับแต่งรถขนสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า และมักมีความเชี่ยวชาญในการจัดส่งสินค้าที่มีขนาดและน้ำหนักของแต่ละชนิดรถหกล้อรับจ้าง ใกล้ฉัน

บริการรถรับจ้างขนสินค้าและวัสดุก่อสร้างเป็นส่วนสำคัญของภูมิภาคการก่อสร้างและธุรกิจโลจิสติกส์ขนส่ง เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของสังคมในทุกประเภทของโครงการและกิจกรรมทางธุรกิจที่ต้องการการขนสินค้า

   
บริการรถรับจ้างขนย้ายบ้านและย้ายที่อยู่

เป็นบริการที่มุ่งเน้นในการช่วยลูกค้าย้ายที่อยู่ สินค้าส่วนตัว ของส่วนตัว สิ่งของ และวัสดุจากสถานที่ที่อยู่เดิมไปยังสถานที่ใหม่ โดยใช้รถรับจ้างที่เหมาะสมสำหรับงานย้ายที่อยู่ เรื่องนี้มักเกี่ยวข้องกับการย้ายบ้านของบุคคล การย้ายสำนักงาน การย้ายสินค้าจากสถานที่ธุรกิจหรือการเคลื่อนย้ายครอบครัวของคนต่างชาติ นี่คือลักษณะและรายละเอียดของบริการรถรับจ้างขนย้ายบ้านและย้ายที่อยู่

    บริการการบรรจุและขนสินค้า : บริการรถรับจ้างย้ายบ้านที่ครอบครัวหรือบุคคลมักรวมการบรรจุและขนสินค้าจากบ้านเก่าไปยังรถขนสินค้า แล้วขนสินค้าไปยังบ้านใหม่
    การให้บริการแบบปรับเปลี่ยน : บริการรถรับจ้างที่มีความยืดหยุ่น ลูกค้าสามารถเลือกบริการตามความต้องการ เช่น บริการที่รวดเร็ว บริการบรรจุและถอดเครื่องใช้ได้ บริการขนสินค้าและบริการครบวงจร
    การครอบคลุมพื้นที่กว้าง : บริการรถรับจ้างขนย้ายบ้านสามารถบริการลูกค้าในพื้นที่กว้าง เช่น ในเมืองหรือทางไกลในภูมิภาคหรือระหว่างรัฐ
    การจัดการที่อยู่และสินค้าที่ปลายทาง : บริการรถรับจ้างช่วยในการจัดการที่อยู่และสินค้าที่สถานที่ปลายทาง รวมถึงการดูแลความปลอดภัยของสินค้าระหว่างการขนย้าย
    การใช้รถรับจ้างที่เหมาะสม : รถรับจ้างที่ใช้สำหรับบริการนี้มักจะเป็นรถพื้นที่ใหญ่ที่สามารถขนสินค้าและสิ่งของในปริมาณมากได้ โดยมีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับการย้ายที่อยู่
    การให้บริการที่ปรับตามเวลา : บริการนี้มักมีความเร่งด่วนและความยืดหยุ่นในเวลาในการให้บริการ เพื่อให้สามารถตรงตามตารางการย้ายที่อยู่ของลูกค้า

บริการ รถรับจ้างขนย้ายบ้าน และ ย้ายที่อยู่ เป็นบริการสำคัญที่ช่วยลูกค้าในการย้ายไปยังที่อยู่ใหม่หรือย้ายสินค้าของพวกเขาอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว รถรับจ้างขนของตรัง โดยทั่วไปบริการนี้จะเสริมความสะดวกสบายและลดความห่วงใยในกระบวนการย้ายที่อยู่ของลูกค้า

บริการรถรับจ้างในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิต

เป็นบริการที่มุ่งเน้นในการให้บริการรถขนสินค้าเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจที่ผลิตสินค้าและวัสดุต่าง ๆ ในมาตรฐานที่ใหญ่ และ รถรับจ้างขนของตรัง มีบทบาทสำคัญในกระบวนการขนสินค้าสู่และจากโรงงาน โรงงาน คลังสินค้า ศูนย์การผลิต และศูนย์จัดเก็บสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมการผลิต นี่คือลักษณะและรายละเอียดของบริการรถรับจ้างในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิต

    ขนสินค้ากลางระหว่างโรงงานและคลังสินค้า : บริการรถรับจ้างช่วยในการขนสินค้าจากโรงงานผลิตไปยังคลังสินค้าและคลังสินค้าไปยังโรงงานผลิต ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการคงคลังและการควบคุมการผลิต
    ขนสินค้าระหว่างโรงงานและศูนย์จัดเก็บสินค้า : บริการนี้ช่วยในการขนสินค้าระหว่างโรงงานผลิตและศูนย์จัดเก็บสินค้า ที่ส่งผลให้มีการจัดเก็บและจัดจำหน่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การขนสินค้าหากำแพงขนสินค้า : บริการนี้เกี่ยวข้องกับการขนสินค้าจากหน้าโรงงานหรือคลังสินค้าไปยังขนสินค้าที่จะส่งออกหรือจัดจำหน่ายในตลาดภายนอก
    การรับจ้างขนสินค้าระหว่างหน่วยธุรกิจ : บริการรถรับจ้างช่วยในการขนสินค้าระหว่างหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ในระหว่างกระบวนการผลิต ที่เชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ของยุทธศาสตร์การผลิต
    บริการพิเศษสำหรับสินค้าที่มีขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก : บริการนี้เน้นการขนสินค้าที่มีขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก เช่น เครื่องจักรหนัก, โครงสร้างกล้าสะพาน, หรือสินค้าใหญ่หรือหนักอื่น ๆ
    การปรับแต่งรถรับจ้าง : บริการรถรับจ้างที่มุ่งหนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิตมักต้องปรับแต่งรถขนสินค้าให้เหมาะสมกับการขนสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ
    ความสำคัญในกระบวนการภาคผนวกของธุรกิจ : บริการรถรับจ้างขนสินค้าเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจที่ผลิตสินค้า ด้วยการให้บริการที่มุ่งหนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

บริการรถรับจ้างในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิตเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการโลจิสติกส์และจัดการสินค้าในภาคอุตสาหกรรม มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจการผลิตเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนในกระบวนการผลิต และการจัดจำหน่ายสินค้าไปยังตลาดและลูกค้าในที่สุด

13
ความรู้และแนวทางปฏิบัติในการดูแลช่องปากในการจัดฟันเด็ก อย่างถูกต้อง

การดูแลช่องปากสำหรับเด็กที่จัดฟันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ ป้องกันฟันผุและปัญหาเหงือกอักเสบ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการเคลื่อนที่ของฟันได้ นี่คือความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องที่คุณควรสอนและดูแลบุตรหลาน

อุปกรณ์ทำความสะอาดที่จำเป็น

นอกเหนือจากแปรงสีฟันปกติแล้ว เด็กที่จัดฟันควรมีอุปกรณ์ทำความสะอาดเฉพาะทางเพิ่มเติม:

แปรงสีฟันสำหรับคนจัดฟัน (Orthodontic Toothbrush): แปรงชนิดนี้จะมีขนแปรงตรงกลางที่สั้นกว่าด้านนอก ทำให้สามารถทำความสะอาดทั้งผิวฟันและตัวเครื่องมือจัดฟันได้พร้อมกัน

แปรงซอกฟัน (Interdental Brush): ใช้สำหรับทำความสะอาดซอกเล็กๆ ระหว่างแบร็กเก็ตและใต้ลวดจัดฟัน ซึ่งเป็นจุดที่เศษอาหารติดค้างได้ง่าย

ไหมขัดฟันสำหรับคนจัดฟัน (Super Floss): ไหมขัดฟันชนิดนี้มีส่วนปลายที่แข็ง ทำให้ร้อยไหมเข้าไปใต้ลวดจัดฟันได้ง่าย ช่วยทำความสะอาดระหว่างซอกฟัน

น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์: ใช้เพื่อช่วยลดแบคทีเรียและเสริมความแข็งแรงของเคลือบฟัน


ขั้นตอนการแปรงฟันที่ถูกต้อง

ควรแปรงฟันอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน หรือ หลังรับประทานอาหารทุกมื้อ

แปรงบริเวณเหนือแบร็กเก็ต: วางแปรงสีฟันทำมุม 45 องศา กับฟัน แปรงเบาๆ เป็นวงกลม

แปรงบริเวณใต้แบร็กเก็ต: วางแปรงทำมุม 45 องศา กับฟัน แปรงเบาๆ ให้ทั่วถึง

ทำความสะอาดซอกฟัน: ใช้แปรงซอกฟันสอดเข้าไปทำความสะอาดระหว่างแบร็กเก็ตและใต้ลวด

ใช้ไหมขัดฟัน: ใช้ไหมขัดฟันสำหรับคนจัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน

บ้วนปากด้วยน้ำยา: ปิดท้ายด้วยการบ้วนปากด้วยน้ำยาผสมฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ


ข้อควรระวังเรื่องอาหาร

การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารมีความสำคัญเพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องมือจัดฟัน

หลีกเลี่ยงอาหารแข็งและเหนียว: เช่น น้ำแข็ง ลูกอมแข็ง ถั่ว หมากฝรั่ง และคาราเมล เพราะอาจทำให้แบร็กเก็ตหลุดหรือลวดจัดฟันงอได้

หั่นอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ: ควรหั่นอาหารที่ต้องใช้แรงกัด เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง หรือผักแข็งๆ ให้เป็นชิ้นพอดีคำ เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้ฟันหน้ากัดโดยตรง

การไปพบทันตแพทย์ตามนัด
ทันตแพทย์จัดฟัน: ควรพาเด็กไปตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทันตแพทย์ปรับเครื่องมือจัดฟันและตรวจสอบความคืบหน้าของการรักษา

ทันตแพทย์ทั่วไป: ควรพาเด็กไปตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนทุกๆ 6 เดือน เพื่อป้องกันฟันผุและปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

การดูแลช่องปากอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี จะช่วยให้การจัดฟันของเด็กได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มีรอยยิ้มที่สวยงาม และสุขภาพฟันที่แข็งแรงในระยะยาวค่ะ

14
การเลือกใช้ท่อลมร้อนสำหรับบ้านพักอาศัย

การเลือกใช้ท่อลมร้อนสำหรับบ้านพักอาศัยนั้นมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา เพื่อให้ได้ท่อลมร้อนที่เหมาะสมกับการใช้งานและมีประสิทธิภาพในการระบายอากาศที่ดี โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้:

1. ลักษณะการใช้งาน
งานระบายอากาศทั่วไป: หากต้องการระบายอากาศในห้องน้ำ ห้องครัว หรือห้องใต้หลังคา ท่อลมร้อนอะลูมิเนียมฟอยล์หรือท่อลมร้อน PVC เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
งานดูดควันหรือไอน้ำมัน: หากต้องการดูดควันหรือไอน้ำมันในห้องครัว ท่อลมร้อนผ้าใบเป็นตัวเลือกที่ดี
งานระบายความร้อนจากเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่: หากใช้เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ ควรเลือกท่อลมร้อนที่มีขนาดเหมาะสมกับเครื่องปรับอากาศ

2. ขนาดและพื้นที่
ขนาดของท่อลม: ควรเลือกท่อลมร้อนที่มีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการระบายอากาศ หากพื้นที่ขนาดใหญ่ ควรเลือกท่อลมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ความยาวของท่อลม: ควรเลือกท่อลมร้อนที่มีความยาวเหมาะสมกับการติดตั้ง หากท่อลมยาวเกินไป อาจทำให้การไหลของอากาศไม่สะดวก

3. วัสดุ
อะลูมิเนียมฟอยล์: น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาถูก แต่ไม่ทนต่อแรงดันสูงและไม่ทนต่อการฉีกขาด
ผ้าใบ: มีความยืดหยุ่นสูง น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ทนต่ออุณหภูมิได้ปานกลาง แต่ไม่ทนต่อแรงดันสูง
PVC: มีความยืดหยุ่นสูง น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาถูก ทนต่ออุณหภูมิได้ต่ำ และไม่ทนต่อแรงดันสูงและสารเคมีบางชนิด

4. งบประมาณ
ควรเลือกท่อลมร้อนที่มีราคาเหมาะสมกับงบประมาณ โดยคำนึงถึงคุณภาพและความทนทานของวัสดุ

5. การติดตั้ง
ควรติดตั้งท่อลมร้อนให้ถูกต้องตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพื่อให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกและติดตั้งท่อลมร้อนที่เหมาะสมกับการใช้งาน

6. การบำรุงรักษา
ควรทำความสะอาดท่อลมร้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก
ควรตรวจสอบท่อลมร้อนเป็นประจำ เพื่อหารอยรั่วหรือรอยชำรุด

คำแนะนำเพิ่มเติม

การต่อท่อลมร้อน ควรต่อให้โค้งขึ้น เพื่อให้ลมร้อนออกได้สะดวก
หากใช้กับมุ้งแอร์ ไม่ควรต่อท่อลมร้อน แต่หากจำเป็นต้องต่อ ควรต่อท่อลมร้อนปล่อยลมไปทิ้งหน้าต่าง
ท่อลมขนาด 4 นิ้ว เหมาะกับการติดตั้งบนฝ้าเพดานพร้อมกับพัดลมดูดอากาศ เหมาะกับห้องหรือพื้นที่ขนาดเล็ก
หากต้องการลดการสูญเสียพลังงาน ควรเลือกท่อลมที่มีฉนวนกันความร้อน
หากพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านการติดตั้ง เช่น เพดานต่ำ ควรเลือกท่อลมแบบยืดหยุ่นหรือท่อลมผ้า

15
บริการทำความสะอาด: ทำไมทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ แต่ในบ้านฝุ่นก็ยังไม่หมดซักที ?

เพราะ ฝุ่นมีอยู่ทุกพื้นที่ในบ้านของเรา การทำความสะอาด เช่น การกวาดและปัดฝุ่นทำให้ฝุ่นผงที่เกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของบ้านฟุ้งกระจายในอากาศ  ต่อให้เราทำความสะอาดเท่าไหร่ ก็กำจัดฝุ่นไปไม่หมดซักที ฝุ่นสามารถเข้ามาได้หลายทางเช่น การเปิดประตูหรือหน้าต่าง นอกจากนี้ฝุ่นยังสามารถเกิดขึ้นเองในบ้านได้อีกด้วย

ที่มาของฝุ่น ฝุ่นนั้นเป็นวัตถุที่มีขนาดเล็กมาก ลอยอยู่ในอากาศทั่วไป ซึ่งปรกติ หากมีปริมาณไม่มาก เราจะมองด้วยด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อฝุ่นเป็นที่มีขนาดใหญ่และเยอะมาก อย่างเช่น ควันดำจากท่อไปเสียรถยนต์ หรือฝุ่นบนถนนลูกรัง เป็นต้น อย่างในบ้านเรานั้นปรกติไม่น่าจะมีฝุ่นเยอะขนาดนั้น เราถึงมองไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อมันตกลงมากองรวมกันเป็นก้อนใหญ่ๆทำให้เราถึงจะเห็นว่าฝุ่นนั้นเยอะ

วิธีกำจัดฝุ่นมีหลายวิธี เช่น ปัด,เป่า,เช็ด ,ใช้เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น การปัดและเป่านั้น เป็นวิธีที่กำจัดฝุ่นออกวิธีหนึ่ง แต่ไม่ได้ช่วยให้ฝุ่นหมดไป ฝุ่นที่โดนปัดหรือเป่าออก มันแค่หลุดออกจากสิ่งๆหนึ่ง แล้วไปลอยอยู่ในอากาศ แล้วมันก็ตกลงมาเกาะตามสิ่งของต่างๆในบ้านเหมือนเดิม


วิธีกำจัดฝุ่นในบ้านเบื้องต้นแบบง่ายๆ

1.    ไม้ปัดฝุ่นไมโครไฟเบอร์กับเครื่องดูดฝุ่น เพราะไม้ปัดฝุ่นไมโครไฟเบอร์จะปัดและเก็บฝุ่นได้ดีกว่าไม้ปัดฝุ่นธรรมดาที่ยิ่งใช้ยิ่งทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย และใช้เครื่องดูดฝุ่นแทนไม้กวาด เพราะเครื่องดูดฝุ่นจะเก็บฝุ่นเข้าไปข้างในและไม่กระจายออกมาอีก

2.    การทำความสะอาดเตียงนอนประจำ เตียงนอนเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่เป็นแหล่งสะสมของฝุ่น และเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้และโรคทางเดินหายใจต่างๆ อย่างนั้นแล้วเราควรหมั่นทำความสะอาดเตียงนอนอย่างเป็นประจำ เช่น ดูดฝุ่นอย่างเป็นประจำ นำผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนไปซักให้สะอาดเป็นประจำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

3.    ผ้าม่านเป็นสิ่งสะสมของฝุ่นได้เป็นอย่างดี และทำความสะอาดยาก ดังนั้นหากต้องการให้บ้านสะอาดจากฝุ่นและไม่อยากมานั่งซักผ้าม่านบ่อยๆ แนะนำให้ลอง ใช้มู่ลี้แทนผ้าม่าน เพราะทำความสะอาดง่าย ทำความสะอาดได้บ่อย โดยไม่ต้องยุ่งยาก

4.    ดูดฝุ่นทำความสะอาดพื้นให้ทั่ว ในบ้านของเรานั้นมีฝุ่นอยู่ทุกที่ เราอาจจะไม่สามารถกำจัดออกไปได้ในครั้งเดียว การดูดฝุ่นและการทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อป้องกันการกลับมาสะสมของฝุ่นอีกครั้ง เราจึงต้องหมั่นทำความสะอาดบ้าน

ไม่ว่าเราจะบ้านของเราจะดูสะอาดดีแค่ไหน แต่ใช่ว่าฝุ่นนั้นจะไม่มีเพราะเราไม่สามารถจะมองเห็นมันได้ และที่ดีที่สุดนั้นคือเราควรหมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ ถึงจะเป็นวิธีที่เหนื่อแต่ก็เป็นทางออกที่ดีสำหรับเรา เพราะฝุ่นนั้นลอยอยู่ตามอากาศและเกาะตามผ้าต่างๆ อย่างผ้าหุ่ม ผ้าปูที่นอน โซฟาต่างๆทำให้เราเกิดโรคทางเดินหายใจได้ ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือทำความสะอาดสิ่งต่างๆให้บ่อยที่สุด เพื่อสุขภาพของเราเอง

หน้า: [1] 2 3 ... 42
ลงประกาศฟรี ติด google ลงโฆษณา ขายของ ฟรี โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ขายฟรี ขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google